สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยเสนอแผนรับมือมาตรการภาษี “ทรัมป์”
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย แถลงข่าวข้อเสนอแผนรับมือมาตรการภาษีตอบโต้ พร้อมเสนอเร่งจัดตั้งคณะทำงานเพื่อรับมือรูปแบบการค้าใหม่
เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 68 นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก แถลงข่าวนายสุภาพ สุวรรณพิมลกุล รองประธาน และนายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร โดยแถลงข้อเสนอแผนรับมือมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมทั้งเสนอเร่งจัดตั้งคณะทำงานเพื่อรับมือรูปแบบการค้าใหม่ มีทั้งสิ้น 4 ประเด็นหลัก

ประเด็นที่ 1 สภาผู้ส่งออกประเมินว่าสหรัฐอเมริกาจะเจรจากับประเทศคู่ค้าเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน และในท้ายที่สุดอาจมีการเรียกเก็บ Reciprocal Tariff ในอัตรา 10%
ประเด็นที่ 2 ควรเจรจาโดยแยกมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ผลิตภายใต้การลงทุนของสหรัฐ และเพิ่มการนำเข้าสินค้าทุนที่ไทยต้องการจากสหรัฐ
ประเด็นที่ 3 รัฐและเอกชนควรเร่งวางกลยุทธ์รายกลุ่มสินค้าและคู่ค้า โดยต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพการค้าและการลงทุนที่ได้รับผลจากนโยบายภาษีนำเข้า และเน้นการกระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสในกรอบความร่วมมือ เช่น อาเซียน–สหรัฐ อาเซียน-ยุโรป อาเซียน–จีน อาเซียน–ญี่ปุ่น อาเซียน–เกาหลี และอาเซียน–อินเดีย
และประเด็นที่ 4 เร่งจัดตั้งคณะทำงานเพื่อรับมือรูปแบบการค้าใหม่ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีองค์ประกอบหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงหน่วยงานภาคเอกชน ได้แก่ สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ สภาผู้ส่งออกได้สำรวจความเห็นของผู้ส่งออกที่เป็นสมาชิกและหารือร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออก ระหว่างวันที่ 9-22 เม.ย. ที่ผ่านมา พบว่า ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบที่แตกต่างกัน ทั้งกลุ่มที่ยังไม่ได้รับผลกระทบ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางบวก อาทิ คำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ถูกเร่งรัดการส่งมอบสินค้าให้เร็วขึ้น และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางลบ อาทิ คำสั่งซื้อสินค้าลดลง ยกเลิกคำสั่งซื้อ และลูกค้าผลักภาระต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้นให้กับผู้ส่งออก เป็นต้น
ซึ่งการรับมือของผู้ประกอบการในปัจจุบันประกอบด้วย การเจรจากับลูกค้าเพื่อแบ่งความรับผิดชอบต่อภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น ทั้งการปรับลดราคาสินค้ากรณีลูกค้าเป็นผู้ชำระค่าภาษี และการขอขึ้นราคาสินค้ากรณีผู้ส่งออกไทยเป็นผู้ชำระภาษี การชะลอรับคำสั่งซื้อเพื่อดูสถานการณ์ เนื่องจากอัตรากำไรของสินค้าไม่เพียงพอต่อการจ่ายหรือการช่วยจ่ายภาษีให้กับลูกค้า และการหาตลาดอื่นทดแทน เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้ส่งออกกว่า 88.9% ระบุว่าไม่มีการลงทุนและไม่มีแผนหรือความต้องการลงทุนในสหรัฐ เนื่องจากต้นทุนจะสูงขึ้นมาก และ 11.1% ระบุว่ามีบริษัทแม่หรือบริษัทในเครือตั้งอยู่ในสหรัฐแล้ว ขณะที่ มีผู้ประกอบการเพียง 31.6% ที่มีการนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐ อาทิ ถั่วเหลือง เครื่องจักรและอุปกรณ์ เม็ดพลาสติก และวัตถุดิบอาหารสัตว์ เป็นต้น เนื่องจากมีแหล่งวัตถุดิบอื่นที่ราคาถูกกว่า และใช้วัตถุดิบภายในประเทศ
นอกจากนี้ สภาผู้ส่งออกขอให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก Reciprocal Tariff ซึ่งมีแนวโน้มทะลักเข้ามาในประเทศไทยและเป็นคู่แข่งไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ของเล่น เครื่องเล่นเกม ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องเสียงและเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ภาชนะบนโต๊ะอาหาร ผลิตภัณฑ์พลาสติก เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน รถโดยสาร สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนังและรองเท้า เป็นต้น ซึ่งประเทศจีนมีการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นสัดส่วนที่สูงมาก และต้องการหาตลาดทดแทน
สภาผู้ส่งออกจึงเห็นว่าประเทศไทยควรพิจารณาดำเนินการมาตรการเพื่อป้องกันการนำเข้าและการเข้ามาลงทุนผลิตในประเทศ แบ่งเป็น
1. ข้อเสนอมาตรการต้านการนำเข้าสินค้าด้อยคุณภาพ โดยสิ่งที่ต้องกำกับดูแลตั้งแต่ในประเทศต้นทาง อาทิ สินค้าและโรงงานต้องได้รับการรับรองมาตรฐานของประเทศไทย สินค้าต้องระบุพิกัดให้ชัดเจนเพื่อให้ศุลกากรไทยสามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ผู้ส่งออกที่ขายผ่าน E-Commerce Platform ต้องระบุ ID Number ให้ชัดเจนไม่ซ้ำซ้อน สินค้าที่จะส่งออกมายังประเทศไทย ต้องแจ้งข้อมูลล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนเรือออกจากท่าเรือต้นทาง เพื่อให้ไทยได้ทราบข้อมูลสินค้านำเข้าล่วงหน้า และสามารถตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบฝ่ายไทย อาทิ ตรวจสอบสินค้านำเข้า 100% เพื่อป้องกันสินค้าด้อยคุณภาพเข้าประเทศ ตรวจสอบสินค้าผ่าน Free zone 100% เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ส่งออก และสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานที่กำหนดโดยประเทศปลายทาง และเพิ่มความเข้มงวดในการคุ้มครองผู้บริโภคจากสินค้านำเข้าด้อยคุณภาพ
2. ข้อเสนอมาตรการต้านการลงทุนศูนย์เหรียญ ประกอบด้วย ทบทวนสิทธิประโยชน์ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สำหรับการลงทุนใหม่ ให้เป็นธรรมในการแข่งขันกับผู้ผลิตในประเทศ และให้ใช้วัตถุดิบภายในประเทศไม่น้อยกว่า 40% เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในประเทศ มากกว่าเม็ดเงินลงุทนและมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจในประเทศไทย และกำหนดเงื่อนไขกิจการร่วมลงทุนที่ต้องการรับสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุน อาทิ ต้องมีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และองค์ความรู้ อย่างแท้จริงสู่ภาคการผลิตในประเทศ ต้องจัดทำข้อตกลงถ่ายทอดเทคโนโลยี ในทุกกรณีที่มีการร่วมลงทุนกับต่างชาติ และกำหนดให้กิจการที่ได้รับการส่งเสริมมีสัดส่วนการจ้างแรงงานไทยไม่น้อยกว่า 50% เพื่อพัฒนาศักยภาพแรงงานภายในประเทศ
3. ข้อเสนอมาตรการด้านการส่งเสริมค้าระหว่างประเทศ โดยต้องอัดฉีดงบประมาณสำหรับ “การจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ” และ “งบสนับสนุนด้านการตลาดแก่ภาคเอกชน” อาทิ SME Proactive ให้มากขึ้น เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าไทยในสายตาคู่ค้าและผู้บริโภคในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง สภาผู้ส่งออกประเมินว่ามีรายการสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐเป็นจำนวนมากและสามารถหาตลาดทดแทนได้ อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยง อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักร เครื่องปรับอากาศ ข้าว อาหารทะเลกระป๋อง ยางธรรมชาติ มอนิเตอร์และโปรเจกเตอร์ ถุงมือทางการแพทย์ น้ำผักและน้ำผลไม้ เป็นต้น
ซึ่งภาครัฐจำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณสำหรับจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกเพื่อช่วยให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักในสายตาคู่ค้าและผู้บริโภคทั่วโลก อาทิ
- เพิ่มการจัดงานแสดงสินค้า (Trade Exhibition) ในประเทศ
- เพิ่มการเข้าร่วมจัด Thailand Pavillion ในงานแสดงสินค้าหลักในต่างประเทศ
- เพิ่มงบประมาณโครงการ SMEs Proactive เพื่อให้ SMEs สามารถเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศด้วยตนเอง
- เพิ่มจำนวนกิจกรรม In-store Promotion ในร้านค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าในประเทศคู่ค้า
- เพิ่มกิจกรรม Trade Mission ในกลุ่มประเทศเป้าหมาย
- เพิ่มกิจกรรม Online Business Matching รายกลุ่มสินค้าและรายประเทศ
- ให้ข้อมูลคู่ค้าในประเทศเป้าหมายเพื่อนำเสนอสินค้าให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
ทั้งนี้ เพื่อให้การทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องมีทิศทางที่ชัดเจน สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย จึงได้ตั้งเป้าหมายผลักดันยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อสร้างความมั่งคั่งสู่ประเทศ หรือ Long-Term Strategy for Thailand’s National Wealth Development เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน รวมถึงเพื่อให้ผู้ส่งออกไทยมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ผ่าน 6 แนวทางสำคัญ ประกอบด้วย
- การวางตำแหน่งทางภูมิเศรษฐกิจ และการสร้างพันธมิตรกลุ่มประเทศ เพื่อส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก
- การจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับกลุ่มประเทศเป้าหมาย
- การบริหารกลยุทธ์การค้าทั้งสินค้าและบริการอย่างบูรณาการ
- การปฏิรูประบบสิทธิประโยชน์บีโอไอ โดยยึดประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
- การพิจารณาสิทธิประโยชน์ตามประเภทอุตสาหกรรมกำหนดหลักเกณฑ์สิทธิประโยชน์ตามสถานะของอุตสาหกรรมในประเทศ
- การส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนไทยในต่างประเทศ พร้อมทั้งแต่งตั้งรองประธานเพื่อผลักดันการดำเนินงานผ่าน 6 คณะกรรมการสำคัญ ได้แก่ คณะกรรมการ Trade Environment, คณะกรรมการร่วมรัฐเอกชนด้านโลจิสติกส์และเศรษฐกิจดิจิทัล, คณะกรรมการ Maritime Transport, คณะกรรมการกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร, คณะกรรมการกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และคณะกรรมการกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์
เพื่อให้สามารถประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดกับสมาชิกซึ่งเป็นผู้ส่งออกจากทุกกลุ่มสินค้าในการแก้ไขปัญหาและผลักดันข้อเสนอแนะที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมไปสู่ภาครัฐและภาคที่เกี่ยวข้อง