เงินสะพัด ช่วงเปิดเทอม แตะ 62,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการในรอบ 16 ปี
ผลสำรวจเงินสะพัด ช่วงเปิดเทอม ปี 68 แตะ 62,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 16 ปี ชี้ ! ยังไม่เห็นสัญญาณเชิงลบของเศรษฐกิจไทย
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจของผลประเมินผลกระทบของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอม พบว่า มีการวางแผนซื้อสินค้าและอุปกรณ์ต่างๆเกี่ยวกับการเรียน ส่วนใหญ่ 78.6% ซื้อหนังสือเรียนใหม่ทั้งหมด ตามด้วยอุปกรณ์การเรียนซื้อใหม่บางส่วน 42.7% โดยหากเปรียบเทียบราคากับปีที่แล้ว มองว่าหนังสือเรียนและชุดนักเรียน ราคาเท่าเดิม ส่วนค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเทอมเฉลี่ย 21,142 บาท และค่าชุดนักเรียน เพิ่มขึ้น 38.5%

สำหรับค่าใช้จ่ายเฉลี่ยโดยรวม อยู่ที่ 26,039 บาท ซึ่ง 45.6% ผู้ปกครองส่วนใหญ่มองว่าค่าใช้จ่ายเท่าเดิมและ 30.2% มองว่า ค่าใช้จ่ายโดยรวมเพิ่มขึ้น ซึ่งเหตุผลที่มองว่าเพิ่มสูงขึ้น มาจากราคาสินค้าแพงขึ้น และซื้อสินค้ามากขึ้น
ส่งผลทำให้ค่าใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอม จะมีเงินสะพัดกว่า 62,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.80% ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 16 ปี ตั้งแต่เริ่มทำการสำรวจในปี 2553
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังไม่ค้นพบว่า เศรษฐกิจมีสถานการณ์ชะลอตัวลงในขั้นที่น่ากังวลและน่าเป็นห่วง สิ่งที่วัดจากการใช้จ่ายช่วงเปิดเทอม คือ การใช้สอยของผู้ปกครองมีมูลค่าสูงสุดกว่า 62,000 ล้านบาท ตีความได้ 2 อย่าง คือ ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาสูงขึ้น และผู้ปกครองใส่ใจเรื่องการศึกษา และการใช้จ่ายไม่ได้ค้นพบว่าผู้ปกครองประหยัดอย่างรุนแรง ที่สำคัญ สะท้อนว่า เศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อได้ ยังไม่มีผลกระทบจากสงครามการค้า และยังไม่มีผลกระทบจากการซึมตัวของเศรษฐกิจอย่างรุนแรง นี่คือสิ่งที่เราค้นพบ
ขณะเดียวกัน ยังถามว่า ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในเรื่องการศึกษาของบุตรหลานหรือไม่ ก็พบว่า ส่วนใหญ่กว่า 90% ส่งผลกระทบ
ส่วนความกังวลต่อประเด็นต่างๆ ของผู้ปกครอง 5 อันดับแรก คือ
- การคบเพื่อน
- สังคมในโรงเรียนที่มีความรุนแรงขึ้น
- การไม่มีงานทำในอนาคต
- การเอาตัวรอดในภาวะปัจจุบัน
- การสอบแข่งขันเพื่อศึกษาต่อ
อีกทั้ง ยังพบว่า การศึกษาของเด็กในเมืองและเด็กที่อยู่นอกเมือง มีความเหลื่อมล้ำค่อนข้างมาก
ขณะที่ นโยบายและความช่วยเหลือด้านการศึกษา ในเรื่องกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษามีความสำคัญมากน้อยเพียงใด ก็พบว่าส่วนใหญ่ 50.1% มองว่า มีความสำคัญมาก ซึ่งช่วยลดภาระของผู้ปกครองได้ในระดับปานกลางถึงมากเกือบ 90%
ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลปรับปรุงด้านการศึกษาของไทยในปัจจุบัน คือ ปรับปรุงระบบการประเมินผลนักเรียนที่วัดผลในหลายมิติ ลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาให้แต่ละโรงเรียนมีคุณภาพการเรียนการสอนที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน สนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับผู้ขาดแคลนทุน พัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ทัดเทียมระดับสากล ปรับการเรียนการสอนให้ดึงดูดความสนใจของนักเรียน และเพิ่มบุคลากรทางการศึกษา
นอกจากนี้ ยังได้มีการสอบถามทัศนะของผู้ประกอบการต่อการใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอม พบว่า ส่วนใหญ่มองว่าบรรยากาศในช่วงเปิดเทอมปีนี้ จะคึกคักมากกว่าปีที่แล้ว 38.2% ส่วนความเชื่อมั่นต่อระบบการศึกษาไทยจะสามารถพัฒนาให้มีคุณภาพทัดเทียมกับนานาชาติในอีก 10 ปีได้หรือไม่ ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นประมาณ 85%
ขณะที่ ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปการศึกษาไทย 2 อันดับแรก มองว่า ยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาอยู่ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายบ่อยครั้งตามการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก็เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปทางด้านการศึกษาไทย