สศอ. เผย ดัชนี MPI พ.ค. 68 ขยายตัว 1.88% พร้อมปรับ GDP ภาคอุตฯเหลือต่ำสุด 0.5%
สศอ. เผย ดัชนี MPI พ.ค. 68 ขยายตัว 1.88% ขณะที่ภาพรวม 5 เดือนหดตัว 0.29% พร้อมปรับ GDP ภาคอุตฯ ปี 68 เหลือต่ำสุด 0.5% ชี้! ไทยเจรจาการค้าสหรัฐสัญญาณบวก
วันนี้ (30 มิ.ย.68) นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม หรือ สศอ. เปิดเผยว่าดัชนีอุตสาหกรรม หรือ MPI ในเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 100.79 ขยายตัวร้อยละ 1.88 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตราการใช้กำลังการผลิต อยู่ที่ร้อยละ 61.14 สะท้อนให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมกลับมาผลิตเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามถึงแม้ดัชนี MPI ในเดือนพฤษภาคมจะขยายตัว แต่ในภาพรวม 5 เดือนที่ผ่านมาพบว่าหดตัวอยู่ที่ร้อยละ 0.29
โดยปัจจัยสนับสนุนหลักๆต่อภาคการผลิต ได้แก่
-อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 12.86 จากการผลิตเพื่อส่งมอบรถยนต์ให้ลูกค้าที่ได้มีการจองไว้จากงานมอเตอร์โชว์
-มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่าง โครงการคุณสู้เราช่วยที่ขยายเวลาลงทะเบียนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
-รวมถึงการค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง มีมูลค่าส่งออกรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 11 เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ ก่อนที่สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า สำหรับมูลค่าส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) อยู่ที่ 23,552 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 22.3
อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยกดดัน จากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ยังไม่ชัดเจน ส่งผลให้การค้าโลกซบเซา และทำให้เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะชะลอตัว นอกจากนี้การบริโภคภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยในไตรมาสที่สี่ของปีที่ผ่านมาหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 16.4 ล้านล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 88.4 ของ GDP ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายส่งผลกระทบต่อยอดขายของสินค้าอุตสาหกรรมในภาครวม และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคมปรับตัวลดลงโดยมีปัจจัยจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า สินค้าทะลักจากต่างประเทศ และภาคการท่องเที่ยวที่มีการชะลอตัว ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเช่นอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนพฤษภาคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ยานยนต์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.86 น้ำมันปาล์ม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 25.14 น้ำตาล ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 21.43
ส่วนอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตเดือนพฤษภาคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10.64 เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.56 กาแฟ ชา และน้ำสมุนไพร หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 80.83
สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทย เดือนมิถุนายน 2568 นายภาสกร ระบุว่า ส่งสัญญาณเฝ้าระวังต่อเนื่อง โดยปัจจัยในประเทศชะลอตัวต่อเนื่องตามความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมและความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่หดตัวจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ด้านปัจจัยต่างประเทศ ภาพรวมยังคงต้องเฝ้าระวังภาคการผลิตของประเทศคู่ค้าทั้งญี่ปุ่นและยูโรโซนที่ชะลอตัวลง และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา รวมถึงภาวะการค้าในตลาดโลก
ขณะที่แนวโน้มภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม และช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังคงมีความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง ทั้งจากปัจจัยท้าทายจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการภาษีของสหรัฐสหรัฐอเมริกา การทะลักเข้าของสินค้าจากต่างประเทศ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ราคาน้ำมันและพลังงานตามราคาตลาดโลก รวมไปถึงภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีความเปราะบาง อย่างเช่น หนี้ครัวเรือนที่สูง กำลังซื้อและการบริโภคของคนไทยถดถอย รวมไปถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน จึงส่งผลให้ สศอ. ปรับลดประมาณการ GDP ภาคอุตสาหกรรมในปี 68 ลงเหลือ 0.5-1.5% จากเดิม 1.5-2.5%
อย่างไรก็ตาม นายภาสกร ระบุว่า สศอ. มีข้อเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐ ด้วยว่า อยากให้ติดตามและเฝ้าระวังความท้าทายต่างๆอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงทบทวนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรม การส่งเสริมการลงทุนที่มีนวัตกรรม เพิ่มการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และมีมาตรการป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ทะลักจากต่างประเทศที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
ส่วนข้อเสนอแนะและแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการ นั้น สศอ. ได้แนะนำว่า ให้ผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์แสวงหาตลาดการค้าใหม่ใหม่ เช่น การปรับตัวการตลาดในรูปแบบออนไลน์ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนด้วยเทคโนโลยี หลักรักษามาตรฐานและความเชื่อมั่นของ สร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม เป็นต้น
นอกจากนี้ นายภาสกร ยังได้ประเมินสถานการณ์การเจรจาการค้ากับสหรัฐด้วยว่า การเจรจาของไทยอาจเป็นไปในทิศทางบวก โดยส่วนตัวเชื่อว่าทีมเจรจาของไทยจะสามารถเจรจากับสหรัฐได้อย่างราบรื่น พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าไทยอาจโดนเก็บภาษีต่ำสุดอยู่ที่ 10% แต่หากโดนเก็บภาษีสูงสุดตามกรอบเพดานที่ 36% ก็คาดว่าจะส่งผลให้ GDP ภาคอุตสาหกรรมของไทยลดลงอยู่ที่ 1.02% อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามผลการเจรจาต่อไปว่าจะออกมาในรูปแบบไหนต่อไป
BTC
ETH
DOGE
ADA
BNB
KUB