รัฐอย่าวางใจ ไทยปิดดีลภาษี 19% เตือน! เร่งหาแนวทางลดพึ่งสหรัฐ
นักเศรษฐศาสตร์ พอใจ! ไทยปิดดีลภาษี 19% เตือน! รัฐอย่าวางใจ เร่งเปิดตลาดใหม่ ลดพึ่งสหรัฐ ประเมิน GDP ปี 68 โต 1.5 - 2.0%
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวในงานเสวนา "Trump's Tariffs : ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร" จัดโดย สมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย โดยระบุว่า อัตราภาษีที่สหรัฐฯเรียกเก็บไทย 19% เป็นอัตราที่น่าพอใจ โดยได้ประเมินไว้เบื้องต้นว่าอาจถูกเรียกเก็บถึง 25% เพราะข้อเสนอที่ไทยเสนอไปยังสหรัฐไม่ได้เปรียบเท่ากับเวียดนามและอินโดนีเซีย
แต่การที่ไทยได้รับอัตราภาษีที่ 19% ซึ่งหากเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคถือเป็นที่น่าพอใจ และทำให้ภาคการส่งออกยังคงเดินหน้าและเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไปได้ ส่วนการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศจะยังคงทัดเทียมกับประเทศอื่นในภูมิภาค โดยการลงทุนจากประเทศช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาอยู่ที่เกือบ 1 ล้านล้านบาท เท่ากับปี 67 ทั้งปี ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ดีมาก พร้อมประเมินว่า GDP ไทยปี 68 จะขยายตัวที่ 1.5% - 2.0%
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้สหรัฐได้ขู่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม 10% กับประเทศใดก็ตามที่เข้าร่วมกับนโยบายต่อต้านอเมริกาของกลุ่ม BRICS (บริกส์) รวมถึงประเด็นการสวมสิทธิ์สินค้า กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า การจัดภาษีรายกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะตามมา และการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโยลี ประเทศไทยจะต้องหาแนวทางลดการพึ่งพาสหรัฐในช่วงต่อไป และหาตลาดใหม่เพิ่มขึ้นในระยะยาว เช่น อาเซียน จีน โดยเฉพาะตลาดอินเดียที่มีความน่าสนใจ
ขณะที่ภาคเอกชนก็ต้องหารือกับสถาบันการเงิน เพื่อหาสินเชื่อในการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ ส่วนภาครัฐจำเป็นต้องเข้ามาดูแลสิ่งที่เป็นอุปสรรค โดยเฉพาะด้านต้นทุน หากทุกภาคร่วมมือช่วยกันหาทางออกจะช่วยให้ผ่าน 6 เดือนจากนี้ไปได้
ส่วนการเตรียมรับมือผลกระทบจากยอมลดภาษีการนำเข้า 0% ให้สหรัฐนั้น ต้องเยียวยาให้ตลาดที่เปิดให้กับสหรัฐ โดยเฉพาะภาคเกษตรและภาคที่เกี่ยวข้อง โดยวงเงิน 2-3 แสนล้านบาทที่เตรียมไว้นั้นคาดว่าเพียงพอ รวมทั้งอาจใช้วิธีการเก็บเม็ดเงินจากภาคการส่งออกเพื่อไปดูแลภาคการเกษตร การจัดสรรเงินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในภาคการเกษตร
ส่วนอีกเรื่องที่อยากให้เยียวยาคือ การไหลของสินค้าจากต่างประเทศ เข้ามาตีตลาดส่งผลให้รายย่อยประสบปัญหา จึงอยากให้ประคองผู้ประกอบการเหล่านี้ โดยรัฐบาลอาจต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างในสัดส่วน 50% จากเอสเอ็มอีไทยที่ผลิตในประเทศไทย
ขณะเดียวกัน อยากให้รัฐบาลเพิ่มเม็ดเงินสนับสนุน BOI เพราะจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเกิดอุตสาหกรรมใหม่ๆ เข้ามาแข่งขันในไทย รวมถึงแบ่งเม็ดเงินเข้ามาช่วยเหลือภาคการท่องเที่ยว ที่จะเข้ามาสนับสนุนเอ็สเอ็มอีไทยได้เช่นกัน
นอกจากนี้ รัฐบาลจะต้องรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยหามาตรการเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ มีนโยบายทางการเงินการคลัง เพื่อประคองเศรษฐกิจ เพื่อให้ไทยยังเดินต่อไปได้ในสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
ด้านนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทยมีการหารือเพื่อร่วมกันเปลี่ยนการนำเข้ากากถั่วเหลือจากสหรัฐแทนการนำเข้าจากบราซิล โดยสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการนำเข้าข้าวโพดและกากถั่วเหลือง 0% จากสหรัฐฯช่วงนอกฤดูกาล ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนจะลดลงจากส่วนจากส่วนต่างราคาที่ปัจจุบันไทยนำเข้ากากถั่วเหลืองจากบราซิลเสียภาษี 2% ส่งผลให้ราคาเนื้อหมู เนื้อไก่ ในประเทศปรับตัวดีขึ้น ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการส่งออกเนื้อไก่แปรรูปไปต่างประเทศให้มั่นคง
ทั้งนี้ การนำเข้าข้าวโพด กากถั่วเหลือง และกากดีดีจีเอสจากสหรัฐ มีมูลค่ารวม 85,000 ล้านบาท ถือเป็นข้อเสนอที่ทำให้สหรัฐพึงพอใจอย่างมาก
สำหรับประโยชน์ทางอ้อม นั้นไทยจะได้รับเครดิตคาร์บอน จากการนำเข้ากถั่วเหลืองและข้าวโพดจากสหรัฐ เนื่องจากสหรัฐยังไม่มีการเผาบาป ซึ่งจะมีผลอย่างมากจากมาตรการ CBAM
ขณะที่ก็มีความกังวลประเด็นการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐ 1% หรือปีละ 10,000 ตัน แม้รายละเอียดจะยังไม่แน่ชัด แต่ประเทศไทยปลอดการใช้สารเร่งเนื้อแดงมา 30 ปี ซึ่งหากนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐเข้าในราคาถูก และมีการใช้สารเร่งเนื้อแดง ก็อาจควบคุมการใช้สารเร่งเนื้อแดงในประเทศได้ยาก จึงต้องมาพิจารณาถึงมาตรฐานที่จะมาเป็นตัวชี้วัดการใช้การเร่งเนื้อแดง อีกทั้งยังกังวลถึงปัญหาเนื้อหมูเถื่อนด้วยเช่นกัน
BTC
ETH
DOGE
ADA
BNB
KUB