แบงก์ชาติ - หอการค้า รับมือค่าเงินบาทผันผวน-ผลกระทบภาษีนำเข้าสหรัฐฯ
แบงก์ชาติ หารือ หอการค้า วางแนวทางช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ รับมือค่าเงินบาทผันผวน-ผลกระทบภาษีนำเข้าสหรัฐฯ
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ พร้อมด้วยคณะกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ร่วมหารือกับคุณวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ และผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจ รวมถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น ผลกระทบจากนโยบายนำเข้าของสหรัฐฯ สถานการณ์ค่าเงินบาท การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ตลอดจนทิศทางนโยบายสำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทยในระยะข้างหน้า
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและรับมือกับความท้าทาย ต่าง ๆ โดยเฉพาะมาตรการที่จะช่วยสนับสนุนการปรับตัวของ SMEs และภาคธุรกิจที่สำคัญ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ขณะที่การช่วยเหลือ SMEs ในส่วนของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดย นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป เปิดเผยว่า ผลดำเนินงาน บสย. ช่วง 9 เดือน ปี 2568 (ม.ค. – ก.ย.) มียอดค้ำประกันสินเชื่อรวม 29,695 ล้านบาท ผ่าน 2 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการค้ำประกันสินเชื่อที่เป็นมาตรการรัฐ ในสัดส่วน 54% คิดเป็นยอดค้ำประกัน 15,984 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 33,625 ราย และโครงการค้ำประกันสินเชื่อดำเนินการโดย บสย. ในสัดส่วน 46% คิดเป็นยอดค้ำประกัน 13,711 ล้านบาท สามารถช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 3,875 ราย
โดยในส่วนของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 “บสย SMEs ยั่งยืน” วงเงิน 50,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมาตรการค้ำกันสินเชื่อที่เน้นช่วย SMEs ลดภาระทางการเงิน โดย ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2-4 ปีแรก ปีต่อไปชำระค่าธรรมเนียมตามวงเงินคงเหลือเพียง 1.5-1.75% ต่อปี ซึ่งตั้งแต่เริ่มโครงการในเดือน ก.ค. 2567 จนถึง 30 ก.ย. 2568 มียอดค้ำประกันรวม 44,517 ล้านบาท และสามารถช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อในระบบมากกว่า 62,703 ราย
ตลอด 9 เดือนของปี 2568 จากการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 122,640 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นกว่า 37,285 ราย แบ่งเป็นกลุ่มรายย่อยหรือ Micro SMEs ในสัดส่วนถึง 84% ค้ำประกันสินเชื่อเฉลี่ย 150,000 บาทต่อราย อีก 16% เป็นกลุ่ม SMEs ค้ำประกันสินเชื่อเฉลี่ย 4.4 ล้านบาทต่อราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้กว่า 39,335 ล้านบาท และช่วยรักษาการจ้างงานรวม 401,871 ตำแหน่ง โดยประเภทธุรกิจที่มียอดค้ำประกันสินเชื่อสูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่
1. ภาคบริการ 32.6%
2. อาหารและเครื่องดื่ม 10%
และ 3. เกษตรกรรม 7.9%
ซึ่งทั้ง 3 ประเภทธุรกิจครองสัดส่วนค้ำประกันถึง 51% สะท้อนถึงแนวโน้มของเม็ดเงินลงทุนของผู้ประกอบการ SMEs ในภาคบริการ อาหาร และธุรกิจท่องเที่ยว ที่เดินหน้าการลงทุน ต่อยอดธุรกิจเพื่อรองรับเม็ดเงินที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนมากในช่วงปลายปี
“จากสัดส่วนผู้ประกอบการที่เข้าถึงสินเชื่อ ผ่านการค้ำประกันของ บสย. ซึ่งเป็นกลุ่มรายย่อย Micro SMEs สูงถึง 84% สะท้อนถึงความสำเร็จของกลไกการค้ำประกันของ บสย. ที่สามารถช่วยเหลือกลุ่ม Micro SME รายย่อย อาชีพอิสระ และกลุ่มเปราะบาง ที่มีปัญหาขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือบุคคลค้ำประกัน สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น” นายสิทธิกร กล่าว
ทั้งนี้ จากความผันผวนทางเศรษฐกิจ สงครามการค้า และสารพัดปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นตลอดปีนี้ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SMEs ของไทยให้ติดหล่ม จากปัญหาสภาพคล่องและการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินทั้งในและนอกระบบ ซึ่งสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล โดยรัฐบาลเล็งเห็นถึงปัญหาของธุรกิจ SMEs นำมาสู่นโยบาย “Quick Big Win” หรือ “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” ซึ่งหนึ่งในด้านที่สำคัญ คือ “การช่วยเหลือธุรกิจ SMEs” ด้วยการเติมสภาพคล่องให้กับ SMEs อย่างเร่งด่วน
BTC
ETH
DOGE
ADA
BNB
KUB