ชง 3 แนวทาง "สกัดบาทแข็ง-ช่วย SME-รับมือภาษีสหรัฐฯ"
ส.อ.ท. ถก ธปท. วาง 3 แนวทางรับมือเศรษฐกิจโลก กังวลภาษีสหรัฐฯ-บาทแข็ง ฉุดส่งออก-ท่องเที่ยว จี้ดูแลค่าเงินให้อยู่ที่ 34–35 บาทต่อดอลลาร์ พร้อมเสนอออกซอฟต์โลนช่วยเอสเอ็มอีฝ่าวิกฤตสงครามการค้า
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลัง หารือร่วมกับ นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พร้อมคณะ เพื่อหารือถึง 3 แนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้แก่ 1.มาตรการรับมือผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ และสงครามการค้า 2.มาตรการส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและแก้ปัญหาหนี้ผู้ประกอบการ SMEs และ 3.ความกังวลต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่า
โดยประธาน ส.อ.ท. ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน และมีการแข่งขันที่รุนแรง เพราะฉะนั้นต้องร่วมกันรับมือและวางแผน จึงเป็นสิ่งสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่ ธปท. ต้องการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ส่วนภาคอุตสาหกรรมได้ภาพภาพแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ผ่านนโยบาย 4GO
โดยเน้น 3 เรื่อง 1.ผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐฯ แม้ไทยจะถูกเก็บภาษีที่อัตรา 19% แต่เรื่องสวมสิทธิ RVC Local Content ยังไม่ชัดเจน ซึ่งกระทบผู้ส่งออกจำนวนมาก รวมถึงกระทบไปยังการปล่อยสินเชื่อ
2. SME ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุด ได้ผลกระทบดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนสูง และถูกตัดสินเชื่อจำนวนมาก จึงอยากให้เกิดการออกแบบไม่ใช่เหมารวมทั้งหมด ซึ่งยังมีลูกค้ากลุ่มคุณภาพดีอยู่
3. เงินบาทแข็งค่า เพราะรายได้ของไทยพึ่งพาการส่งออกถึง 60% ต่อ GDP โดย ธปท. จะดูแลเรื่องการซื้อขายทองคํา คริปโต และการเคลื่อนย้ายเงินทุนสีเทาที่ผิดปกติ เพื่อลดแรงกดดันทําให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐาน เมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าของไทย โดยจะประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ก.ล.ต., ปปง. ภายใต้คณะกรรมการ Connect the Dots ที่ได้มีการจัดตั้งไปแล้ว
ซึ่งภาคเอกชน มองว่า ค่าเงินบาทที่แข็งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาถึง 7% กระทบต่อภาคการส่งออกการท่องเที่ยวที่ทําให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง รวมถึงกระทบต่อรายได้จากการค้าขายที่น้อยลงเมื่อมีการแลกเปลี่ยนจากดอลลาร์เป็นเงินบาท เช่น ประเทศเวียดนาม ที่ค่าเงินอ่อนลง 3% แต่เงินบาทแข็งค่าขึ้น 7% ทําให้ไทยเสียเปรียบ การส่งออกและการท่องเที่ยวถึง 10% จากผลกระทบค่าเงินที่แข็งขึ้น
ช่วงที่ผ่านมา หลังจากภาครัฐมีการตรวจสอบเรื่องการซื้อขายทองคําที่ผิดปกติอย่างจริงจัง ทำให้ค่าเงินบาทลดการแข็งค่าเหลือ 5% จาก 7% ดังนั้นถึงเวลาที่จะต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะนอกจากช่วยในเรื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังช่วยเรื่องสร้างความเชื่อมั่นของไทยในสายตาของต่างชาติด้วย
ทั้งนี้ ภาคเอกชน มองว่า ค่าเงินบาทควรอยู่ที่ระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์หรืออ่อนค่าลงประมาณ 2 บาทจากระดับปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการแข่งขันของภาคการส่งออกไทย
พร้อมเสนอ ธปท. ออกมาตรการช่วยเหลือที่ได้รับ SME ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ เช่น ผ่อนปรนการจัดชั้นสินทรัพย์ของลูกหนี้ที่อาจกลายเป็นหนี้เสียหลังได้รับผลกระทบ รวมถึงหาสภาพคล่องและออกซอฟท์โลน ให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีสําหรับปรับเปลี่ยนสําหรับปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและการหาตลาดใหม่ทดแทน ตลาดสหรัฐที่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ นายเกรียงไกร ยังกล่าวว่า สำหรับโครงการ "คนละครึ่งพลัส" ที่มีผู้ลงทะเบียนสิทธิ 20 ล้านคนแล้วนั้น คิดว่าสิ่งที่สำคัญ คือ โครงการในครั้งนี้มีร้านค้าลงทะเบียน 200,000 - 300,000 ราย และเป็นร้านค้ารายใหม่ ไม่ใช่ร้านค้ารายเก่า จึงคิดสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้
ส่วนข้อกังวลว่าจะมีสินค้าสวมสิทธิ์นำเข้าต่างประเทศเข้ามาขายในไทย ทำให้ไทยไม่ได้รับประโยชน์ จากการศึกษาก็มีบ้าง แต่ต้องมองภาพใหญ่มากกว่า เพราะโครงการนี้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ถึง 80% แต่เรื่องนี้อาจคิดเป็น 20% เท่านั้น
ส่วนการแก้ไขโครงสร้างสินค้านำเข้าไม่ถูกกฎหมาย สำแดงเท็จ เรื่องนี้จะต้องแก้ในระยะยาว ผ่านการขึ้นทะเบียนสินค้าให้เป็นเมดอินไทยแลนด์ ปัญหานี้ก็จะหมดไป รวมทั้งการเพิ่มสัดส่วนจัดซื้อจัดจ้างในประเทศไทยให้ถึง 50% จะทำให้มีเม็ดเงินหลายแสนล้านบาทหมุนในระบบ ไม่ใช่รอบเดียว แต่หมุนได้หลายรอบ มีการจ้างงานจริง สร้างความเข้มแข็งให้เอสเอ็มอี โดยไม่ต้องมีภาระทางการคลัง
ดังนั้นมองว่า คนละครึ่งพลัส เฟส 2 จะขยายภายใต้ให้เอกชนมาช่วยซื้อเมดอินไทยแลนด์ และให้กระทรวงการคลังพิจารณาลดหย่อนภาษีปลายปีสำหรับผู้ที่ช่วยอุดหนุนสินค้าเหล่านี้
ส่วนมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรอง ที่วันนี้คณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรอง เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี ช่วยลดค่าใช้จ่ายและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียน ซึ่งจะช่วยประคองเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ของปี ซึ่งหลายฝ่ายมีความกังวลตัวเลข GDP เหลือ 0.3%
BTC
ETH
DOGE
ADA
BNB
KUB