"วัสดุก่อสร้าง" ปี 69 แนวโน้มหด ราคาลดแต่ยังแพง แข่งเดือดรับสินค้าจีนทะลัก
SCB EIC ประเมินภาคก่อสร้างไทยปี 2569 ยังเผชิญแรงกดดันจากงบลงทุนรัฐลดลง–ตลาดอสังหาฯ หดตัว ขณะวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มราคาลดแต่ยังสูงกว่าก่อนปี 2565 แนะผู้ประกอบการเร่งปรับกลยุทธ์รับมือการแข่งขัน
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยแนวโน้มภาคก่อสร้างและตลาดวัสดุก่อสร้างปี 2569 ว่ามูลค่ารวมอุตสาหกรรมก่อสร้างมีแนวโน้ม “ทรงตัว” อยู่ที่ราว 1.41 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นการก่อสร้างภาครัฐ 860,000 ล้านบาท ขยายตัวเพียง 1% จากปีก่อน ส่วนการก่อสร้างภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องเหลือ 551,000 ล้านบาท หดตัว 1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
SCB EIC ระบุว่า การก่อสร้างภาครัฐปี 2569 ยังได้รับแรงกดดันจากงบลงทุนที่ลดลงราว 5% จากปีงบประมาณ 2568 และความไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ดี โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (Mega Project) ที่อยู่ระหว่างดำเนินการยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง และมีแนวโน้มเปิดประมูลโครงการใหม่เพิ่มเติมในปีหน้า
ส่วนภาคเอกชน ยังคงเผชิญภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มอาคารที่อยู่อาศัยที่หดตัวตามตลาดอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่อาคารพาณิชย์มีแนวโน้มทรงตัว ทั้งนี้ พื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างในปี 2024 ที่หดตัวแรงและคาดว่าจะลดลงต่อเนื่องในปี 2568 จะส่งผลให้กิจกรรมการก่อสร้างเอกชนชะลอลงในระยะถัดไป
ภาคก่อสร้างไทยยังต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนก่อสร้างที่ยังสูง แม้วัสดุบางประเภทมีแนวโน้มราคาลดลงแต่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับก่อนปี 2565 ขณะเดียวกันจำนวนแรงงานชาวเมียนมามีแนวโน้มลดลง อาจผลักดันให้ค่าแรงปรับสูงขึ้น อีกทั้งยังมีแรงกดดันจากเหตุแผ่นดินไหวที่ทำให้ผู้ว่าจ้างเข้มงวดมาตรฐานวัสดุก่อสร้างมากขึ้น
SCB EIC ยังชี้ว่าการแข่งขันด้านราคามีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากผู้รับเหมาสัญชาติจีนที่เข้ามาในตลาดไทยมากขึ้น และใช้วัสดุก่อสร้างจากจีนในห่วงโซ่อุปทานจำนวนมาก ขณะเดียวกันภาคธุรกิจยังต้องเผชิญกับปัญหาโครงสร้างในระยะกลาง เช่น ภาวะ Oversupply ของอสังหาริมทรัพย์ ผลิตภาพ (Productivity) ภาคก่อสร้างที่ยังต่ำ และแรงกดดันจากการลดการปล่อยคาร์บอน
สำหรับแนวทางปรับตัวของผู้รับเหมา SCB EIC แนะให้
• ร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อสร้างรายได้ และหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง
• ควบคุมต้นทุนโดยทำสัญญาซื้อวัสดุก่อสร้างล่วงหน้าและบริหารแรงงานอย่างมีแผน
• บริหาร Backlog อย่างมีประสิทธิภาพ ปรับสัดส่วนงานรัฐและเอกชนให้เหมาะสม
• ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและสร้างความน่าเชื่อถือผ่านพันธมิตรต่างชาติ
• ลงทุนในเทคโนโลยีก่อสร้างเพื่อเพิ่มผลิตภาพและพัฒนาทักษะบุคลากร
• วางเป้าหมายลดการปล่อย Emission และร่วมมือกับผู้ผลิตวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ด้านอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างในปี 2569 SCB EIC คาดว่ามีแนวโน้มหดตัวเล็กน้อย ทั้งจากราคาที่ปรับลดลงตามต้นทุนวัตถุดิบ เช่น เหล็ก ปูนซีเมนต์ กระเบื้อง และสีทาอาคาร ซึ่งได้รับอานิสงส์จากราคาสินแร่เหล็ก ถ่านหิน น้ำมัน และค่าไฟฟ้าที่ลดลง แต่การแข่งขันด้านราคายังรุนแรง ส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างโดยรวมยังอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนปี 2022
ในส่วนของปริมาณการใช้งานวัสดุก่อสร้าง คาดว่าจะชะลอตัวตามการก่อสร้างที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะวัสดุที่ใช้มากในภาคเอกชน เช่น กระเบื้องและสีทาอาคาร ขณะที่ปริมาณเหล็กทรงยาวและทรงแบนคาดอยู่ที่ 6.5 ล้านตัน (+0.5%) และ 10.4 ล้านตัน (+0.2%) ตามลำดับ ส่วนปูนซีเมนต์คาดทรงตัวที่ 36.1 ล้านตัน
อย่างไรก็ตาม SCB EIC เตือนว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าสำคัญ อาจส่งผลให้ไทยถูกระบายสินค้าวัสดุก่อสร้างเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะเหล็กจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ รวมถึงกระเบื้องจากจีน เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อผู้ผลิตในประเทศ
ทั้งนี้ ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างควรเร่งปรับกลยุทธ์รับมือ เช่น แสวงหาโอกาสจากการเชื่อมโยงเศรษฐกิจภูมิภาค ควบคุมคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานตลอดห่วงโซ่อุปทาน ลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิต ขณะที่ผู้ค้าควรเน้นจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพ ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพบริการ และติดตามแนวโน้มตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
BTC
ETH
DOGE
ADA
BNB
KUB