สัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้ยครึ่งหลังปี 66 กลยุทธ์ลงทุนแนะถือเงินสดไว้ก่อน
SCB CIO คาดเริ่มเห็นการขึ้นดอกเบี้ยช้าลงของธนาคารกลางหลักในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 กลยุทธ์การลงทุนแนะนำถือเงินสดหรือผลิตภัณฑ์เสี่ยงต่ำ 5-15% ของพอร์ต ประเมินภาพเศรษฐกิจโลกปี 2566 มีความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยสูงขึ้นจากปัจจัยดอกเบี้ย เงินเฟ้อที่สูงขึ้นออกฤทธิ์ ใน 6 ประเด็น
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส / หัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย SCB CIO ประเมินภาพเศรษฐกิจโลกปี 2566 มีความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยสูงขึ้นจากปัจจัยดอกเบี้ย เงินเฟ้อที่สูงขึ้นออกฤทธิ์ ใน 6 ประเด็น
กนง.มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% มีผลวันนี้ คาดเงินเฟ้อแนวโน้มสูง
รบ.ชี้ภาษีขายหุ้นไทยเก็บต่ำกว่าหลายชาติในเอเชีย ยันไม่เว้นให้รายใหญ่
1.อัตราเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดแล้วในหลายประเทศ
แต่ยังปรับตัวลดลงช้าและเกินเป้าหมายของธนาคารกลางหลักเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลงช้า ทำให้การบริหารจัดการเรื่องเงินเฟ้อยังเป็นประเด็นหลักที่ธนาคารกลางต้องทำนโยบายการเงินแบบตึงตัว
2.อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแบบช้าลง (slower rate hike)
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 และจะเริ่มหยุดขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงจนกว่าเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย SCB CIO คาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกธนาคารกลางหลักจะยังคงให้น้ำหนักกับประเด็นเงินเฟ้อสูงเป็นหลัก
ในช่วงครึ่งหลังจะเริ่มมาให้น้ำหนักการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น โดยในส่วนของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกในอัตรา 0.50% สู่ระดับ 4.50% ในการประชุมระหว่างวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้ และคาดว่าใน 3 การประชุมแรกของปี 2023 จะปรับขึ้นอีกครั้งละ 0.25% แล้วคงดอกเบี้ยที่ 5.25% ต่อเนื่องจนถึงปลายปี 2566
สำหรับในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย ในปี 2566 เคาดว่าจะมีการขยับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้อีก 0.50% เป็น 1.75% ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดก่อนเกิดโควิด-19
โดยสาเหตุที่ขยับขึ้นดอกเบี้ยได้ไม่มากนักเนื่องจาก ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในปี 2566 เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ภาวะการเงินตึงตัวขึ้น และการเริ่มกลับมาเก็บเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ในอัตราเดิม 0.46% จากที่เคยปรับลดลงเหลือ 0.23% ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องส่งผ่านต้นทุนส่วนหนึ่งไปยังภาคธุรกิจและครัวเรือนผ่านดอกเบี้ยที่สูงขึ้นด้วย
3.ผลจากอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยในระดับสูงทำให้เกิดภาวะการชะลอลงของเศรษฐกิจหลักอย่างมีนัยและพร้อมเพรียงกัน (Synchronized and serious slowdown)
SCB CIO เชื่อว่า ยูโรโซน และอังกฤษ ยังเป็น 2 กลุ่มเศรษฐกิจหลักที่มีความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยแบบรุนแรงสูง จากผลของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และวิกฤตด้านพลังงาน
ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงด้านนี้ต่ำกว่าจากความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานและภาคครัวเรือนและธุรกิจที่มีการก่อหนี้ต่ำเมื่อเทียบกับการเกิดเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงครั้งก่อนๆ
4. การชะลอตัวของเศรษฐกิจและการประท้วงจะเป็นหนึ่งในปัจจัยกดดันให้ทางการจีนยกเลิก Zero Covid Policy ในปี 2566 แต่การเปิดเมืองเปิดประเทศน่าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
5. ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์จากทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน
6. การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานการผลิตของโลกจะยิ่งเร็วขึ้น
กลยุทธ์การลงทุนในปี 2566 เน้นการลงทุนแบบระมัดระวัง แนะนำถือเงินสด
ดร.กำพล ระบุว่า แนะนำกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง และแนะนำถือเงินสดหรือลงทุนในผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ 5-15% ของพอร์ตโฟลิโอ รวมถึงสะสมพันธบัตร/หุ้นกู้ โดยทยอยเพิ่ม Duration แต่เน้นที่มีคุณภาพสูง
SCB CIO เชื่อว่าในภาวะเศรษฐกิจดังกล่าวนักลงทุนควรเน้นลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนจากกระแสเงิน (Yield) มากกว่าผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (capital gain)
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นยังต้องระวังกับดักด้านมูลค่า (Valuation trap: P/E ) ต่ำจากราคาที่ปรับลง แต่กำไรในอนาคตมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลงเช่นกัน
สำหรับนักลงทุนที่รับความผันผวนได้ แนะนำทยอยสะสมหุ้นไทยและอินโดนีเซีย ที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวของรายได้และกำไรต่อเนื่องจากอานิสงค์การฟื้นตัวของกำลังซื้อภายในประเทศ
เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงถดถอย แต่การเปิดเมืองของจีนและการลดกำลังการผลิตของOPEC ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาน้ำมันโลก การปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบช้าลงของเฟด ส่งผลให้แรงกดดันค่าเงินของกลุ่มประเทศ Emerging Markets เริ่มชะลอลง โดยเฉพาะในประเทศที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มกลับมาเกินดุล เช่น ไทย ทำให้การป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนมีความจำเป็นมากขึ้น