ค่าเงินบาทเช้านี้ "แข็งค่าเล็กน้อย" คาดพรุ่งนี้กนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25%
ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 32.74 บาท/ดอลลาร์" แข็งค่าเล็กน้อย"เมื่อเทียบกับปิดตลาดเมื่อวานที่ 32.76 บาท/ดอลลาร์ กรอบวันนี้ที่ 32.60- 32.90 บาท/ดอลลาร์
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 130.66 เยน จากระดับ 129.59 เยน ค่าเงินยูโรพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ 1.0927 เทียบดอลลาร์ ขานรับถ้อยแถลงของนายคลาส นอต และนายปีเตอร์ คาซิเมียร์ เป็นกรรมการส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรงกว่าเฟดที่คาดว่าจะปรับเพียง 0.25% ในวันที่31 ม.ค.-1ก.พ.
จับตาคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในการประชุมวันที่ 25 ม.ค.คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25%
ค่าเงินบาท "แข็งต่อเนื่อง" ตลาดคาดเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย หลังเงินเฟ้อลง
สัญญาณเงินไหลออก ทำให้เงินบาทแข็งค่า "จำกัด" จากกนง.ขึ้นดอกเบี้ย
การเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในรอบ 5 วัน
ทั้งนี้ นักลงทุนรอตัวเลขกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยดัชนี PCE ในวันศุกร์นี้ โดยดัชนีดังกล่าวเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ และตัวเลขประมาณการเบื้องต้นของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2565 ในวันพฤหัสบดีนี้
แนะนำผู้นำเข้าควรซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อป้องกันความเสี่ยง และผู้ส่งออก ขายเงินตราต่างประเทศที่ระดับเหนือ 33.00 บาท/ดอลลาร์
ด้านนายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำช่วยลดแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ทำให้ในช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก อย่างไรก็ดี ในวันนี้ เราประเมินว่า แรงกดดันเงินบาทในฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่บ้าง ตามการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ทั้งในฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป โดยหากดัชนี PMI ในฝั่งยุโรปออกมาดีกว่าคาด สวนทางกับรายงานดัชนี PMI ฝั่งสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ในกรณีดังกล่าว เงินดอลลาร์ก็อาจพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้บ้าง
ทั้งนี้ หากเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น เรายังคงมองแนวรับสำคัญในช่วง 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนต่างก็รอทยอยซื้อเงินดอลลาร์และทยอยขายทำกำไร Short USDTHB
นักลงทุนผู้รอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ อย่าง Microsoft, Tesla, ASML ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสพลิกกลับมาย่อตัวลงได้ หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องกว่า +0.52% หนุนโดยความหวังว่าเศรษฐกิจยุโรปอาจไม่ได้เผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรงอย่างที่ตลาดเคยกังวลก่อนหน้า หลังจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยุโรปในช่วงที่ผ่านมาส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด
นอกจากนี้ ภาพเศรษฐกิจยุโรปยังได้แรงหนุนจากการเปิดประเทศของจีน ซึ่งในขณะเดียวกันก็เป็นปัจจัยช่วยให้หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมต่างปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นยุโรปยังคงเป็นแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) หลังประธาน ECB รวมถึงเจ้าหน้าที่ ECB ท่านอื่นๆ ต่างก็ออกมาสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย จนกว่า ECB จะสามารถคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จ
ในส่วนของตลาดบอนด์นั้น แม้ว่านักลงทุนผู้เล่นมั่นใจว่า เฟดอาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลงใกล้ระดับ 3.30% แต่ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มขายทำกำไรการถือครองบอนด์ระยะยาวออกมาบ้าง ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 3.51% อีกครั้ง
เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวมีแนวโน้มปรับตัวลงชัดเจน ตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักที่จะลดความเข้มงวดลง แต่นักลงทุนก็ควรรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น เพื่อทยอยเพิ่มสถานะการลงทุน (Buy on Dip) มากกว่าที่จะไล่ซื้อในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลง
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นกลับสู่ระดับ 102 จุด อีกครั้ง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงสู่ระดับ 130 เยนต่อดอลลาร์ ส่วนค่าเงินยูโร (EUR) แม้ว่าจะปรับตัวแข็งค่าขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ 1.091 ดอลลาร์ต่อยูโร ตามแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB