ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ "แข็งค่า" รับเฟดขึ้นดอกเบี้ยตามตลาดคาดการณ์
ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาดที่ 32.75 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าเมื่อเทียบกับวานนี้ที่ระดับ 32.87 บาท/ดอลลาร์ โดยกรอบวันนี้ 32.60 - 33.00 บาท/ดอลลาร์
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า เงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าเทียบกับเงินสกุลหลัก หลังธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามที่ตลาดคาดไว้ โดยยังไม่มีสัญญาณการสิ้นสุดการปรับขึ้นดอกเบี้ย พร้อมระบุว่า แม้เงินเฟ้อได้ชะลอตัวลง แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้เฟดมีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นช่วงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยต่อไป
แนะนำผู้นำเข้าควรซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อป้องกันความเสี่ยง และผู้ส่งออก ขายเงินตราต่างประเทศที่ระดับเหนือ 33.00 บาท/ดอลลาร์
เฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด 0.25% เดินหน้าขึ้นอีกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ราคาทองวันนี้ ปิดตลาดเพิ่ม 150 บาท เหตุดอลลาร์อ่อนรอผลประชุมเฟด
ขณะที่ตัวเลขสถิติการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) ที่ยังคงสูงขึ้น ทำให้ตลาดกังวลต่อการขึ้นดอกเบี้ยต่อไปของเฟด จะกระทบต่อต้นทุนภาคธุรกิจในระยะยาว โดยนักลงทุนรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร Non farm payroll ซึ่งจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้
ด้านนายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน ก่อนที่ดัชนี S&P500 จะสามารถปิดตลาด +1.05% โดยในช่วงแรกดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างปรับตัวลดลง หลังจากเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 4.50%-4.75% ตามคาด พร้อมส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นแรง ในช่วง Press Conference ของประธานเฟด หลัง ประธานเฟดได้ระบุว่า เริ่มเห็นการชะลอตัวลงของเงินเฟ้อ
อีกทั้ง ประธานเฟดก็ไม่แสดงความกังวลต่อภาวะการเงิน (Financial Conditions) ที่ผ่อนคลายลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนผ่านการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ ซึ่งท่าทีดังกล่าวของประธานเฟดได้หนุนให้บรรดาผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า เฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5.00% ก่อนที่จะลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 4.50% ได้ในช่วงปลายปีนี้
ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.03% เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอประเมินผลการประชุมของบรรดาธนาคารกลางหลัก ก่อนที่จะปรับสถานะการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารกลาง หลังเริ่มมีการประกาศผลประกอบการที่ดีกว่าคาด (BBVA +4.7%, Intesa Sanpaolo +1.8%) อย่างไรก็ดี แนวโน้มผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์บางส่วนที่อาจแย่ลง ได้กดดันให้หุ้นใหญ่ในกลุ่มเฮลท์แคร์ต่างปรับตัวลง นำโดย Novartis -2.7%, Roche -2.2%
ด้านตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงราว -10bps สู่ระดับ 3.42% (บอนด์ยีลด์ 2 ปี และ 5 ปี สหรัฐฯ ต่างก็ปรับตัวลงราว -10bps เช่นกัน) หลังตลาดตอบรับในเชิงบวกต่อถ้อยแถลงของประธานเฟดที่ระบุว่า เงินเฟ้อเริ่มมีการชะลอตัวลง
อย่างไรก็ดี เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจตอบรับต่อถ้อยแถลงของประธานเฟดมากเกินไป เนื่องจาก เงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับสูง และมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงช้าได้ หากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งและตึงตัว ซึ่งทำให้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานในวันศุกร์นี้อาจส่งผลให้ตลาดการเงิน โดยเฉพาะตลาดบอนด์กลับมาผันผวนได้ ทั้งนี้ แม้เรามีมุมมองที่เป็นบวกต่อการลงทุนในบอนด์ ทว่านักลงทุนก็ควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเพิ่มสถานะการลงทุน
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดย ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลงราว -1% สู่ระดับ 101 จุด หลังผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังการลดดอกเบี้ยลงของเฟดในช่วงปลายปี ตามแนวโน้มเงินเฟ้อชะลอตัวลง นอกจากนี้ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดยังหนุนให้ ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะลดการถือครองเงินดอลลาร์ลง
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การอ่อนค่าลงและโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ ยังคงเป็นปัจจัยที่หนุนให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังตลาดรับรู้ผลการประชุมเฟด อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า บรรยากาศในตลาดการเงินที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ก็อาจช่วยหนุนให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนต่อเงินบาท ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB และ BOE
ทั้งนี้ เราเริ่มเห็นผู้เล่นต่างชาติปรับมุมมองต่อค่าเงินบาทในระยะสั้น หลังเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นต่างชาติบางส่วนรอจังหวะเงินบาทแข็งค่าทดสอบแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ในการทยอยขายทำกำไร Short USDTHB และอาจเริ่มปรับมุมมองเป็นเงินบาทอาจอ่อนค่าลง (เพิ่มสถานะ Long USDTHB) ทำให้เราคงมองว่า เงินบาทอาจยังไม่หลุดแนวรับสำคัญได้ง่ายนักในระยะสั้นนี้