ค่าเงินบาทเปิดตลาด "อ่อนค่า" ผวาเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย จับตาเงินไหลออก
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ 33.55 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ 32.96 บาทต่อดอลลาร์ กรอบวันนี้อยู่ที่ 33.35-33.65 บาท/ดอลลาร์
หลังจากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)เมื่อเดือนที่ผ่านมา ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ทำให้ตลาดคาดว่าเฟดจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยลงในปีนี้เพื่อประคองเศรษฐกิจสหรัฐ และอาจจะปรับลดลงดอกเบี้ยลงปลายปีและปีหน้าหากเศรษฐกิจเผชิญกับภาวะถดถอย แต่ข้อมูลเศรษฐกิจในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ตลาดกลับมากังวลอีกครั้ง หนุนค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์อื่น
ค่าเงินบาทอ่อนลงอย่างรวดเร็วในวันศุกร์ต่อเนื่องถึงวันจันทร์
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่าค่าเงินบาทอ่อนค่า โดยปัจจัยหลักมาจากค่าเงินดอลลาร์ที่กลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลหลัก หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 517,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2565 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 185,000 ตำแหน่ง
ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2512 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.6% ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าเฟดจะใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังได้รับแรงกดดันจาก Fund Flow ที่ไหลออกต่อเนื่องจากทั้งตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น โดยต่างชาติขายสุทธิเมื่อวันศุกร์ 6,109 ล้านบาท และ 2,216 ล้านบาท ในตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นตามลำดับ
คาดการณ์ค่าเงินบาทวันนี้จะมีความผันผวน และมีแรงซื้อดอลลาร์มากขึ้นทั้งจากผู้นำเข้า และการขายทำกำไรในทองคำ โดยมีแนวรับ/แนวต้านระยะสั้นที่ 33.40/33.70 บาทต่อดอลลาร์
แนะนำผู้นำเข้าควรซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอีกครั้ง หลังยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมสหรัฐฯ ในวันศุกร์ออกมาสูงกว่าคาดไปมาก
"ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ตลาดการเงินอาจผันผวนสูงต่อได้ โดยจะขึ้นกับ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน และที่สำคัญ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและประธานเฟด หลังภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มสดใสกว่าคาด"
ในสัปดาห์นี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯมีไม่มาก แต่นักลงทุนจับตาภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและการว่างงานต่อเนื่อง รวมถึง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งตลาดคาดว่า ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ไม่ได้แย่ลงอย่างที่ตลาดเคยกังวล รวมถึงภาพเงินเฟ้อที่ชะลอลงมากขึ้น อาจช่วยหนุนให้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคทรงตัวที่ระดับ 64.9 จุด (หรืออาจปรับตัวขึ้นเล็กน้อยได้)
นอกจากนี้ นักลงทุนรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด หลังจากในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดตีความถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วง Press Conference ว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยไปมากนักจากระดับล่าสุด (ส่งผลให้ตลาดการเงินเปิดรับความเสี่ยงชัดเจน) ทว่า รายงานข้อมูลตลาดแรงงานล่าสุดในวันศุกร์ที่ผ่านมา กลับออกมาดีเกินคาดไปมาก ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอีกครั้ง (สะท้อนผ่านมุมมองนักลงทุนมอง Terminal Rate 5.25% อีกครั้ง)
นักลงทุนติดตามมุมมองของประธานเฟด รวมถึงเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่นๆ ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อและการปรับนโยบายการเงินเฟด หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานล่าสุดที่ดีกว่าคาด นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจและถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดดังกล่าว นักลงทุนรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหากผลประกอบการรวมถึงแนวโน้มผลประกอบการในอนาคต ออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจส่งผลให้บรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ต่อเนื่องจากช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมาได้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า หากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น พร้อมการปรับฐานของราคาทองคำ เงินบาทก็มีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อได้บ้าง โดยต้องจับตาแนวต้านสำคัญแถว 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ที่เป็นจุด Cut Loss ของนักลงทุนที่มีสถานะ Short USDTHB รวมถึงเป็นจุดที่ผู้ส่งออกบางส่วนต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ ควรจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หลังนักลงทุนต่างชาติยังเดินหน้าขายสุทธิหุ้นและบอนด์ต่อเนื่อง
ทั้งนี้ แรงขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มลดลง หลังดัชนี SET50 ได้ย่อลงใกล้โซนแนวรับหลัก