ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.68 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.68 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.87 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.68 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.87 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในลักษณะ Sideways Down
แม้ว่าในช่วงแรกเงินบาท รวมถึงบรรดาสกุลเงินอื่นๆ จะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ตามความกังวลผลกระทบจากการเดินหน้านโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ
โดย เงินบาทก็ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ ที่ได้แรงหนุนจากความต้องการถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย รับมือความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลง หลังบรรดาสกุลเงินฝั่งยุโรป นำโดยเงินยูโร (EUR) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 1.06 ดอลลาร์ต่อยูโร ตามความหวังว่าว่าที่รัฐบาลใหม่ของเยอรมนีจะสามารถผ่านร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขกฎเกณฑ์ในการกู้เงินของรัฐบาล
ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มงบประมาณด้านการทหารและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนานใหญ่ วงเงินราว 5 แสนล้านยูโร ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการอ่อนค่าลงของสกุลเงินหลัก อย่าง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่กลับมาอ่อนค่าเหนือโซน 149.50 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง ตามส่วนต่างระหว่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ที่กว้างมากขึ้น หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้งของเฟดในปีนี้ ลงบ้าง ท่ามกลางแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีความรุนแรงมากขึ้น
แนวโน้มของค่าเงินบาท
การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา ถือว่าเหนือความคาดหมายของเราพอสมควร โดยมาจากปัจจัยที่ไม่ได้คาดคิดอย่าง การแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ตอบรับแนวโน้มรัฐบาลใหม่ของเยอรมนีเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแก้ไขกฎเกณฑ์การกู้เงิน นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทดังกล่าว ยังคงสะท้อนให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำนั้นมีผลต่อทิศทางเงินบาทพอสมควร
อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงที่อาจทยอยอ่อนค่าลงได้ ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดทุนฝั่งเอเชีย ทำให้เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า จากแรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติได้ อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตราบใดที่ราคาทองคำทยอยปรับตัวสูงขึ้นได้ หรืออย่างน้อยก็แกว่งตัว Sideways
นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ในช่วงคืนที่ผ่านมา อาจเป็นเพียงการแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากยุโรปยังเสี่ยงเผชิญการดำเนินนโยบายกีดกันทางการจากสหรัฐฯ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงก็อาจเป็นปัจจัยกดดันเงินยูโรได้ อีกทั้ง เราคงกังวลว่า ผู้เล่นในตลาดได้ “รับรู้และคาดหวัง” ว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ ไปพอสมควรแล้ว ทำให้มีความเสี่ยงที่ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลการจ้างงานออกมาดีกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองการลดดอกเบี้ยของเฟดดังกล่าว จนหนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นได้
แนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มจากยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ในช่วงราว 20.15 น. ตามเวลาประเทศไทย จนถึงช่วง 22.00 น. ที่ตลาดจะรับรู้รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ เนื่องจากสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่าเงินบาท (USDTHB) เสี่ยงผันผวน +/-0.20% ได้ภายในช่วง 30 นาที หลังทยอยรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.90 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 33.69 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 33.85 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ตามการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำโลก โดยราคาทองฟิวเจอร์พุ่งขึ้นกว่า 30 ดอลลาร์ ทะลุ 2,930 ดอลลาร์เมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าของสหรัฐกับประเทศคู่ค้า
นอกจากนี้ ราคาทองยังได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ซึ่งจะเพิ่มความน่าดึงดูดของทองคำ ทำให้สัญญาทองคำมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันเดินหน้าเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากจีน แคนาดาและเม็กซิโกตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 20% นอกจากนี้ สหรัฐจะเริ่มใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศที่เก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.
ทั้งนี้จีนได้ตอบโต้มาตรการภาษีกับสหรัฐทันทีโดยจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ บางรายการเพิ่มอีก 15% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. พร้อมกับควบคุมการส่งออกสินค้าไปยังบริษัทสหรัฐฯ จำนวน 15 แห่ง
ตลาดจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์นี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 156,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. หลังจากเพิ่มขึ้น 143,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.0%
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของปธน.ทรัมป์ต่อสภาคองเกรสสหรัฐ ซึ่งจะเป็นการกล่าวปราศรัยต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐและชาวอเมริกันทั่วประเทศเป็นครั้งแรก หลังจากที่ปธน.ทรัมป์รับตำแหน่งประธานาธิบดีเพียง 6 สัปดาห์ หลังการสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา
โดยการกล่าวสุนทรพจน์ของปธน.ทรัมป์ต่อที่ประชุมร่วมวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในครั้งนี้มีกำหนดจัดขึ้นในคืนวันอังคารที่ 4 มี.ค. เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเช้าวันพุธที่ 5 มี.ค. เวลา 09.00 น.ตามเวลาไทย
* สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ เมื่อวานที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 884.39 ล้านบาท และขายสุทธิตลาดพันธบัตรไทย 2,271 ล้านบาท
* กรอบค่าเงินวันนี้และกลยุทธ์แนะนำ
USD/THB 33.50 - 33.90
*แนะนำ ทยอยซื้อที่ 33.50/ ขาย 33.90
EUR/THB 35.50 - 36.00
* แนะนำ ซื้อ 35.50 / ขาย 36.00
JPY/THB 0.2230 - 0.2280
* แนะนำ ซื้อ 0.2230 / ขาย 0.2280
GBP/THB 42.80- 43.30
AUD/THB 20.80 - 21.30
BTC
ETH
DOGE
ADA
BNB
KUB