เฟดคงดอกเบี้ยที่ 4.25-4.50% รอดูผลกระทบสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.50% แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ แต่ตัวเลขการจ้างงานยังทำให้อุ่นใจ
เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มแสดงผลกระทบจากสงครามการค้าที่เกิดจากนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.25% ถึง 4.5% ซึ่งเป็นระดับที่คงมาตั้งแต่เดือน ม.ค. 2025
เจ้าหน้าที่เฟดระบุว่า จะรอข้อมูลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญของทรัมป์อย่างไร

อย่างไรก็ตาม เฟดระบุในแถลงการณ์นโยบายล่าสุดว่า “ความเสี่ยงของการว่างงานและภาวะเงินเฟ้อมีสูงขึ้น” ซึ่งเป็นสองปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำพร้อมภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Stagflation)
ประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ กล่าวในการแถลงข่าวว่า ความไม่แน่นอนมีอยู่โดยทั่วไป ตั้งแต่ทิศทางของนโยบายไปจนถึงการพัฒนาของเศรษฐกิจเมื่อเผชิญกับสงครามการค้าระหว่างทรัมป์กับทั่วโลกที่ยังคงดำเนินต่อไป
นอกจากนี้ เขายังย้ำถึงภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำพร้อมภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่กล่าวว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ยังคงสร้างความมั่นใจให้กับเศรษฐกิจได้อยู่
พาวเวลล์บอกว่า มาตรการภาษีศุลกากรที่ทรัมป์เรียกเก็บนั้นส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจไปแล้ว ซึ่งพาวเวลล์ระบุว่าเป็นผลจากตัวเลขการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น
เศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวในช่วงต้นปี ซึ่งถือเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2022 เนื่องจากทุกคนพากันชิงนำเข้าสินค้าก่อนที่ภาษีทรัมป์จะมีผล ขึ้นภาษีศุลกากรของทรัมป์ ส่งผลให้การนำเข้าพุ่งสูงขึ้นแซงหน้าการส่งออก เกิดการขาดดุลการค้าที่ส่งผลกระทบต่อ GDP
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ตกต่ำอย่างรวดเร็ว ในเดือน เม.ย. ตัวเลขการจ้างงานเพิ่มขึ้น 177,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.2%
ความแข็งแกร่งดังกล่าวของตลาดแรงงานทำให้เฟดสามารถคงดอกเบี้ยไว้ได้ เนื่องจากประเมินแล้วว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ต้องการการสนับสนุนใด ๆ ผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
เจ้าหน้าที่เฟดกล่าวว่า “กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงขยายตัวในอัตราที่มั่นคง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นก็ตาม”
เรียบเรียงจาก CNN