แบงก์ใหญ่ ประเมิน สิ้นปี กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง สู่ระดับ 1.25%
แบงก์ใหญ่ ประเมิน สิ้นปี กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในไตรมาส 4 สู่ระดับ 1.25% เพื่อบรรเทาผลกระทบจากข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ขณะที่เงินบาทแข็งค่า
เริ่มที่ SCB EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 1.50% ตามคาดการณ์ โดยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้มาจากการประเมินของ กนง. ว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายได้เพิ่มเติม เพื่อช่วยให้ภาวะการเงินผ่อนคลายลง
โดยเฉพาะ ธุรกิจที่จะถูกกระทบจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่ทำให้มีปัญหาความสามารถในการแข่งขันที่มีอยู่ก่อนแล้ว ให้สามารถปรับตัวได้ในระยะข้างหน้า ซึ่งการแข่งขันจากต่างประเทศจะรุนแรงขึ้น
และจะเป็นการช่วยบรรเทาภาระทางการเงินที่ยังเปราะบาง เมื่อมองไปข้างหน้า กนง. เห็นว่านโยบายการเงินจะต้องอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ แต่ควรคำนึงถึงเสถียรภาพในระยะปานกลาง รวมถึง Policy space ที่มีจำกัดและประสิทธิผลในการส่งผ่านนโยบายการเงิน
โดย กนง. มองว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 จะชะลอลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน
SCB EIC จึงประเมินว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในไตรมาส 4 สู่ระดับ 1.25% เนื่องจากภาวะการเงินตึงตัว รวมทั้งเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเร็วอาจเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
นอกจากนี้ สถานการณ์สินเชื่อหดตัว โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ SMEs และสินเชื่อครัวเรือนจะยังดำเนินต่อไป จากความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่วนหนึ่งจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ธุรกิจ SMEs บางส่วนประสบปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ภาคครัวเรือนยังประสบปัญหาภาระหนี้ที่มีอยู่เดิม
ขณะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา หากเปรียบเทียบกับหลายประเทศคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐฯ อาจเป็นอีกปัจจัยกดดันความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทย การแข็งค่านี้สะท้อนจากดัชนีค่าเงินบาทในช่วงตั้งแต่ต้นปี 2025 ที่ผ่านมา ที่ดัชนีอยู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงินเอเชียปี 1997
อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (Real rate) ในปัจจุบันยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับในอดีต โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงของไทย อยู่ที่ประมาณ 0.75% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ใกล้เคียง 0% เท่านั้น สะท้อนว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอาจยังไม่ผ่อนคลายเพียงพอ เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่ำกว่าในอดีตอย่างมีนัย
อัตราเงินเฟ้อไทยที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน แม้จะมีที่มาจากปัจจัยด้านอุปทานและมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพจากภาครัฐโดยเฉพาะด้านพลังงานเป็นหลัก อาจทำให้ครัวเรือนเผชิญกับภาวะ “Debt deflation” และนำไปสู่ความเสี่ยงภาวะเงินฝืด (Deflation) ในที่สุด
Debt deflation คือ สถานการณ์ที่มูลค่าที่แท้จริงของหนี้ไม่ลดลงตามราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ภาระหนี้ครัวเรือนยังคงสูงอยู่ โดยที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อต่ำไม่ได้ช่วยในกระบวนการลดหนี้ครัวเรือน (Debt deleveraging) มากนัก แต่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงที่เห็นในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เกิดจากหนี้ใหม่ที่ชะลอตัว หากสถานการณ์นี้ดำเนินต่อไป อาจทำให้ครัวเรือนเปราะบางยิ่งขึ้น ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอลง และนำไปสู่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation)
สำหรับมุมมองนโยบายการเงิน SCB EIC ยังคงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.25% ภายในสิ้นปีนี้ โดยเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยจะแผ่วลงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะภาคการส่งออกสินค้า และภาคการท่องเที่ยว ความเปราะบางของภาคธุรกิจและครัวเรือนจะยังส่งผลต่ออุปสงค์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ภาวะการเงินไทยนับว่ายังตึงตัวสูง ไม่สอดคล้องกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ต่ำกว่าระดับศักยภาพมาก
SCB EIC จึงประเมินว่าภายในปีนี้ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในไตรมาส 4 เพื่อให้นโยบายการเงินสามารถรองรับความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าได้
กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ ระบุ เงินบาทแข็งค่าเล็กน้อยหลัง กนง. ประกาศลดดอกเบี้ย
ด้านกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ในการแถลงของ กนง. ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 ขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ที่ 2.3% และ 1.7% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขัน แม้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีจากการส่งออกกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ และภาคการผลิต
แต่คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลงจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการทางภาษีสหรัฐฯ และจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ที่ลดลงจากภาวะการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้จะยิ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของกลุ่ม SME ลูกจ้าง และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ กนง. ยังระบุถึงการหดตัวของสินเชื่อ และคุณภาพสินเชื่อที่ลดลงอีกด้วย โดยเฉพาะสินเชื่อ SME และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
ทั้งนี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยไปอยู่ที่ 32.30 บาท/ดอลลาร์ หลังจาก กนง. ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย โดย กนง. ระบุว่าค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยลดลง
สำหรับการประชุม กนง. ในครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นวันที่ 8 ตุลาคม 2568 โดยจากแถลงของ กนง. ในวันนี้มีท่าทีระมัดระวังอย่างชัดเจน โดยมองว่าควรผ่อนคลายนโยบายทางการเงินมากขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าสภาวะทางการเงินเอื้ออำนวยและช่วยลดภาระให้กับกลุ่มเปราะบาง ขณะเดียวกันจำเป็นต้องดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์คาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยอย่างน้อยอีกหนึ่งครั้งลงไปอยู่ที่ 1.25% ก่อนสิ้นปี 2568 เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ
Krungthai COMPASS
Krungthai COMPASS คาดว่า กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมสู่ระดับ 1.25% เพื่อบรรเทาผลกระทบจากข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ
Krungthai COMPASS คาด กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมสู่ระดับ 1.25% เพื่อบรรเทาผลกระทบจากข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ
Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย คาดว่า กนง. อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมสู่ระดับ 1.25% เพื่อบรรเทาผลกระทบจากข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลอย่างเต็มที่ในช่วงปี 2569 โดยเฉพาะภาษี transshipment ที่ปัจจุบันยังไม่มีแนวทางดำเนินการที่ชัดเจน โดย Krungthai COMPASS คาดว่า GDP ปี 2568 จะขยายตัวที่ 2%
นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงหลังหลายประเทศยังต้องประเมินผลกระทบจากข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ อีกทั้ง ผลกระทบของการขึ้นภาษีต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่อาจกลับมาเร่งตัวขึ้น ซึ่งจะกระทบต่ออุปสงค์โลก ท่ามกลางความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risk) ซึ่งคาดการณ์ได้ยากจึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการประคับประคองเศรษฐกิจ เพื่อเร่งปรับตัวรับกับความท้าทายครั้งสำคัญจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและห่วงโซ่อุปทานโลก หลังกติกาการค้าโลกพลิกผันครั้งใหญ่ซึ่งจะนำไปสู่การแข่งขันรูปแบบใหม่
ในระยะข้างหน้าต้องติดตามความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน หลัง กนง. ลดดอกเบี้ย ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ประกอบการเพิ่มเติม หลังการประกาศอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่แม้จะลดความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าและหนุนให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่า แต่คาดว่าหลายประเทศจะเร่งออกมาตรการบรรเทาผลกระทบ และส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนจึงเป็น cushion สำคัญในการปกป้อง margin ของธุรกิจที่อยู่ในช่วงเปราะบาง
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามมาตรการกำกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินที่ออกจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น การส่งออกนำเข้าทองคำ ที่ในระยะหลังความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำและค่าเงินบาทปรับสูงขึ้น ประกอบกับไทยเกินดุลการชำระเงินจาก errors & omissions สูงขึ้นซึ่งอาจสะท้อน unknown activity ที่เกี่ยวกับทอง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดกนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดกนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในการประชุม 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ ตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่เหลือของปีนี้ ประกอบกับในการประชุมรอบนี้ กนง. ระบุว่า นโยบายการเงินในระยะข้างหน้าควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ
ขณะที่คาดว่า กนง. คงจะยังให้ความสำคัญกับจังหวะในการปรับลดดอกเบี้ยท่ามกลางขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีจำกัดมากขึ้น และคงต้องติดตามการส่งผ่านของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมาต่อต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง
นอกจากนี้ นับตั้งแต่การประชุมกนง. ครั้งถัดไป จะมีการเปลี่ยนผู้ว่าการธปท. รวมถึงกรรมการในคณะกรรมการธปท. บางรายหลังจากครบวาระ
BTC
ETH
DOGE
ADA
BNB
KUB