ครม.เศรษฐกิจหารือโครงการซื้อหนี้เสีย 2.3 ล้านบัญชี มูลหนี้ 6.2 หมื่นล้านบาท
ธปท.จับมือ กระทรวงการคลังและสมาคมธนาคารไทย จ่อชงซื้อหนี้เสีย 2.3 ล้านบัญชี มูลหนี้กว่า 6.2 หมื่นล้านบาท เฟสแรกช่วยประชาชน 2 ล้านราย
วันที่ 4 พ.ย. 68 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ได้มีการประชุมหารือโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) ซึ่งเป็นไปตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาโดยกำหนดให้ “การแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชน” เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่จะต้องมีการแก้ไขโดยเร็ว
ดังนั้น กระทรวงการคลังได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และภาคสถาบันการเงิน จัดทำโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของ AMC ขึ้น
โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans: NPLs) เพื่อผ่อนภาระให้กับลูกหนี้ ช่วยให้ลูกหนี้สามารถปิดจบหนี้ หลุดพ้นจากสถานะการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้โดยเร็ว และมีประวัติการชำระหนี้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอนาคต ซึ่งจะเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม และจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตได้ในระยะยาวต่อไป
อย่างไรก็ดี การแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนในครั้งนี้ มุ่งแก้ไขปัญหาให้กับลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายที่มีภาระหนี้ NPLs ซึ่งเป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 กับผู้ให้บริการทางการเงินทุกแห่งรวมกันไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย โดยมีจำนวนประมาณ 3.45 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี เป็นภาระหนี้จำนวนประมาณ 122,000 ล้านบาท โดยมีแนวทางการให้ความช่วยเหลือได้ คือ
กลุ่มที่ 1 การดำเนินการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้โดย AMC
ลูกหนี้ที่อยู่กับธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ลูกหนี้ของบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของ ธพ. และลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) จะได้รับการช่วยเหลือผ่านกลไกการขายและโอนหนี้ให้กับ AMC ที่ได้รับมอบหมาย ได้แก่
- บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM)
- บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC)
และกำหนดให้ AMC นำหนี้ดังกล่าวมาปรับโครงสร้างหนี้ผ่านการเสนอเงื่อนไขการผ่อนชำระที่ผ่อนปรนและเหมาะกับความสามารถของคนกลุ่มนี้มากขึ้น เช่น การลดดอกเบี้ย ไม่คิดดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมการจ่ายชำระเพียงบางส่วนเพื่อปิดบัญชี เป็นต้น
และกลุ่มที่ 2 การช่วยเหลือเพิ่มเติมโดย SFIs ดำเนินการเอง
ซึ่ง SFIs จะมีมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นมาตรการเฉพาะของแต่ละธนาคาร เพื่อบริหารจัดการหนี้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของลูกหนี้ SFIs เนื่องจากลูกหนี้ของ SFIs กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางมากกว่าลูกหนี้ของ ธพ. หรือได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านกลไกอื่นแล้ว ดังนั้น SFIs จะมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม เช่น
- มาตรการชำระบางส่วนเพื่อปิดบัญชี
- ลดเงินต้นยกเว้นดอกเบี้ยทั้งหมด
- มาตรการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ที่ผ่อนปรนมากกว่าเกณฑ์ปกติของธนาคาร
- การปิดบัญชีและตัดเป็นหนี้สูญสำหรับลูกหนี้ขาดศักยภาพ เป็นต้น
ทั้งนี้ การดำเนินการใน 2 ส่วนนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะทำให้ภาครัฐมีโครงการเพื่อช่วยลูกหนี้ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และช่วยเหลือลูกหนี้ให้หลุดพ้นจากภาระหนี้ต่าง ๆ ได้โดยเร็ว ซึ่งในการดำเนินการทั้งสองส่วนนี้คาดว่ามีบัญชีลูกหนี้ที่เข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือทั้งสิ้น 2 ล้านราย ประมาณ 2.36 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ประมาณ 62,400 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในระยะต่อไปจะมีการพิจารณาขยายขอบเขตการช่วยเหลือไปยังลูกหนี้ของผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-banks) ตามหลักการเดียวกัน เพื่อให้นโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของ AMC ในครั้งนี้ รัฐบาลมั่นใจว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ประชาชนรายย่อยซึ่งปัจจุบันประสบปัญหาภาระหนี้จนกระทบต่อเนื่องเป็นปัญหาชีวิตและปัญหาสังคมและเศรษฐกิจในภาพรวม สามารถมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผ่านกลไกการให้ความช่วยเหลือของ AMC ได้รับการปรับโครงหนี้ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรนและเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้ลูกหนี้สามารถผ่อนชำระหนี้ได้จนกลับมาเป็นลูกหนี้ที่มีประวัติชำระปกติมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ในอนาคต ไม่ต้องพึ่งพิงสินเชื่อนอกระบบที่อาจมีอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้โดยเร็วและยั่งยืน และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อไปได้ในอนาคต
ทั้งนี้ ครม.เศรษฐกิจ ได้อนุมัติเห็นชอบในหลักการโครงการดังกล่าวแล้ว โดยจะนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) และมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง ธปท. สมาคมธนาคารไทย และบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่างๆ ในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ เพื่อกำหนดมาตรฐานกลางและเริ่มกระบวนการโอนหนี้อย่างเป็นทางการ
ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้หากแต่ละหน่วยงานทำงานแยกกัน ดังนั้น ธปท. จึงได้บูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย เพื่อดำเนินโครงการแก้ไขหนี้ครัวเรือนร่วมกัน พร้อมกันนี้นายวิทัย ระบุว่า โครงการนี้ใช้เวลาเตรียมการประมาณ 1 เดือนเศษ โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนใน 2 มิติ คือ
- มิติด้านปริมาณหนี้ ซึ่งมีสัดส่วนราว 87% ของจีดีพี
- มิติด้านจำนวนลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสีย (NPL) ซึ่งไม่สามารถกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหรือขอสินเชื่อใหม่ได้
“กลุ่มลูกหนี้ที่เป็น NPL เหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ เพื่อให้สามารถกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ตามปกติ โดยเฉพาะลูกหนี้รายย่อยที่มียอดหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท ซึ่งคิดเป็นกว่าครึ่งของลูกหนี้ NPL ทั้งหมด หรือราว 4.76 ล้านบัญชี” ผู้ว่าการ ธปท. กล่าว
อย่างไรก็ดี สำหรับระยะเฟสแรก โครงการจะเริ่มดำเนินการกับหนี้จำนวนรวมประมาณ 2.36 ล้านบัญชี โดยจะโอนไปบริหารจัดการใน 2 บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) โดยหนี้ที่จะโอนเข้ามาเป็นหนี้เสียที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมาเท่านั้น
นอกจากนี้ นายวิทัย ชี้ว่า การบริหารจัดการหนี้ในครั้งนี้จะใช้แนวทางที่ “ผ่อนปรนมากเป็นพิเศษ” เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระคืนได้ตามศักยภาพ ทั้งการจ่ายปิดบัญชีครั้งเดียวหรือผ่อนชำระเป็นรายปี พร้อมอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังคงยึดหลักไม่ให้เกิดความเสียวินัยทางการคลัง
ขณะที่นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมว่า โครงการดังกล่าว มีเป้าหมายที่ชัดเจน คือ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้อย่างแท้จริง โดยมีความแตกต่างจากการโอนหนี้หรือขายหนี้ให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) แบบเดิม เนื่องจากครั้งนี้จะมีเงื่อนไขการผ่อนปรนเป็นพิเศษ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถ “รอด” และกลับไปเริ่มต้นชีวิตหรือทำธุรกิจใหม่ได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวยังได้รับความร่วมมือจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ในการกำหนด “รหัสพิเศษ” ให้กับลูกหนี้ที่เข้าร่วม โดยจะใช้รหัส16 เพื่อระบุว่าเป็นกลุ่มลูกหนี้ในโครงการช่วยเหลือ ซึ่งจะไม่ถูกจำกัดว่าต้องมีประวัติการชำระหนี้ดีครบ 3 ปีก่อนจึงจะสามารถขอสินเชื่อใหม่ได้
ขณะเดียวกัน หากลูกหนี้ที่อยู่ในโครงการสามารถชำระหนี้ได้ดีต่อเนื่อง เช่น 1 เดือน 3 เดือน หรือ 6 เดือน และสถาบันการเงินเห็นศักยภาพในการฟื้นตัว ก็สามารถพิจารณาปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทันที ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กลับมาตั้งหลักและสร้างอนาคตใหม่ได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ในฐานะผู้แทนสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นความร่วมมือที่ตั้งใจจะให้โอกาสกับลูกหนี้อย่างแท้จริง และมาตรการนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เน้นให้ความสำคัญกับโครงสร้างและให้ ลูกหนี้เป็นจุดศูนย์กลาง และดำเนินการบนหลักการเดียวกันคือ Level Play Field
ส่วนการโอนหนี้เข้า AMC จะใช้ราคามาตรฐานที่ตกลงกันระหว่างธนาคารพาณิชย์ และจะมีโครงสร้างการแบ่งปันการเรียกเก็บเงิน (Revenue Sharing) ในอนาคต หากสามารถเรียกเก็บหนี้ได้
BTC
ETH
DOGE
ADA
BNB
KUB