แนะนำรายย่อยลงทุนแบบ "ถัวเฉลี่ย" ลดเสี่ยงท่ามกลางตลาดผันผวน
การลงทุนในช่วงตลาดผันผวนยังมีโอกาส แนะรายย่อยลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง ด้วยการซื้อแบบถัวเฉลี่ย หรือ DCA รับเงินเฟ้อ-สงคราม
ธนาคารกสิกรไทย ประเมินแนวโน้มที่กระทบการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยในครึ่งปีแรก 2565 จับตาแรงกดดันจาก 3 ปัจจัยส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก จากราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ราคาน้ำมันที่ทยอยปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตามด้วยสภาวะสงครามรัสเซียและยูเครน
แนะนำปรับพอร์ตลงทุนที่ให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ ด้วยการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย หรือกระจายความเสี่ยงด้วยทองคำ และจับจังหวะดอกเบี้ยขาขึ้นโดยลงทุนในกลุ่มธุรกิจหรือกองทุนรวม เช่น กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์
น้ำมันโลกพุ่งกว่า 5% จากพายุในคาซัคสถานกระทบส่งออกน้ำมัน
เปิดกลยุทธ์ลงทุนรับสงครามรัสเซีย-ยูเครน กับ 4 สถานการณ์ที่เป็นไปได้
ดร. พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า การลงทุนในปีนี้เป็นปีที่ท้าทายจากแรงกดดัน 3 ปัจจัยสำคัญคือ
วางแผนยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 4 ขั้นตอน "จ่ายภาษีน้อยลง"
- กำลังการผลิตยังไม่กลับมาสู่ภาวะปกติ ภาคการผลิตยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด ไม่สามารถดำเนินการผลิตได้เต็มกำลัง ประกอบกับความต้องการสินค้าเพิ่มสูงขึ้นจากการเปิดประเทศ
- การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการที่มากขึ้น ในขณะที่กำลังการผลิตมีจำกัด ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อในระดับสูงจากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวอย่างผันผวน (Stagflation)
- สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ยังเห็นการใช้กำลังปะทะกันต่อเนื่อง และล่าสุด ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) กำลังพิจารณาคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซียตามรอยสหรัฐ เป็นประเด็นที่ต้องติดตามเพราะหลายประเทศในยุโรปจำเป็นต้องพึ่งพานำเข้าพลังงานน้ำมัน
“ด้านที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากที่สุดคือ เงินเฟ้อพุ่ง ของแพง ต้นทุนพลังงาน ต้นทุนธุรกิจสูง ในขณะที่ตลาดเงินตลาดทุนของไทยมีความผันผวนมากขึ้น ควรปรับแนวทางการลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ โดยทยอยลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (DCA) หรือกระจายความเสี่ยงด้วยทองคำภายใต้สัดส่วน 5%-10% และในช่วงดอกเบี้ยขาขี้นควรลงทุนในกลุ่มธุรกิจหรือกองทุนรวม เช่น กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์”
ส่งออก ก.พ.โต 16.2% ตลาดรัสเซียอันดับหนึ่ง สงครามยังไม่กระทบ