BAY โชว์กำไรไตรมาส 1/65 ที่ 7,418 ล้านบาท เพิ่ม 14% เหตุสินเชื่อโต-NPL ลดลง
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY ไตรมาส 1/2565 กำไรสุทธิกว่า 7 พันล้าน เพิ่มขึ้น 14% โกยรายได้ดอกเบี้ย 2.4 หมื่นล้านบาท ธุรกิจสินเชือโต พร้อมทั้งตั้งสำรองลดลง
TTB ไตรมาส 1/65 กำไรสุทธิ 3,194 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.8%
KKP ไตรมาส 1/65 กำไรสุทธิ 2,055 ล้านบาท พุ่ง 40.5% เหตุสินเชื่อโต-ค่านายหน้าเพิ่ม
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ชื่อหลักทรัพย์ BAY รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2565 มีกำไรสุทธิจำนวน 7,418 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรจากการดำเนินงานและการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
โดยเงินให้สินเชื่อรวม อยู่ที่ 38,194 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากสิ้นปี 2564 จากความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งเติบโตถึง 3.9% และ 4.0% ตามลำดับ
ด้านเงินรับฝากอยู่ที่ 50,041 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.8% จากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์ สะท้อนการปรับตัวดีขึ้นของสัดส่วนของเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์และจ่ายคืนเมื่อทวงถามต่อเงินรับฝากทั้งหมด
รายได้ดอกเบี้ยในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 24,752 ล้านบาท หรือลดลง 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อ สอดคล้องกับการปรับ โครงสร้างพอร์ตสินเชื่อที่มีสัดส่วนสินเชื่อเพื่อธุรกิจมากขึ้นในระหว่างไตรมาส
ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ลดลงจำนวน 502 ล้านบาท หรือ 5.7% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจากกิจกรรมทางธุรกิจของลูกค้าตามฤดูกาลในไตรมาสที่ผ่านมา
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 เงินสำรองรวมอยู่ที่ 89,668 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อ ด้อยคุณภาพอยู่ในระดับสูงสุดที่เคยบันทึกที่ 191.6% ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 184.2% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564
ธนาคารยังคงรักษาระดับการตั้งสำรองตามหลักเกณฑ์รอบคอบระมัดระวัง ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่จำนวน 6,783 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมที่ 137เบสิสพอยท์ ลดลงจำนวน 1,345 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.5 จากไตรมาส 4/2564
นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ว่าจะเผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน และปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน หากแต่พันธกิจหลักของกรุงศรีที่มุ่งเน้นในการสนับสนุนการฟื้นฟูภาคธุรกิจและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย จึงทำให้สินเชื่อขยายตัวได้ 2.0% ในไตรมาสแรกของปี 2565 จากความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สะท้อนความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้นกอปรกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรก ภายใต้ภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนนับแต่ต้นปี 2565 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออก ควบคู่ไปกับมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายภายในประเทศ กรุงศรีคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามวิกฤตความขัดแย้งด้านภูมิศาสตร์การเมืองในปัจจุบันจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านการปรับขึ้นของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ และอุปสงค์จากต่างประเทศที่ชะลอลง กรุงศรีจึงปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2565 เป็น 2.8% จากเดิมที่ 3.7%
โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.93 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.83 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.61 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 291.34 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 18.25% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 13.32%