ครบรอบ 25 ปี "ต้มยำกุ้ง" วิกฤติไม่ซ้ำรอย แต่ครั้งใหม่กำลังมา
วิกฤติ "ต้มยำกุ้ง" เมื่อ 25 ปีที่แล้ว เวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้ง แม้ว่าปัจจัยแบบเดิมไม่มีแล้ว แต่วิกฤติครั้งใหม่กำลังมา จากเงินเฟ้อ โรคระบาดและสงคราม
วันที่ 2 กรกฎาคม 2565 เป็นวันครบรอบ 25 ปี ที่ทางการไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อปี 2540 และเปลี่ยนมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ (Managed Float Exchange Rate Regime) โดยการตัดสินใจในครั้งนั้น นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของไทย จากเดิมที่ใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบผูกติดกับตะกร้าเงิน มาเป็นการลอยตัวแบบมีการจัดการ ซึ่งสอดคล้องไปกับปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยมากขึ้น
"จิม โรเจอร์ส" ชี้ตลาดหมีหนักสุดในชีวิต เหลือ 2 สินทรัพย์ "เสี่ยงน้อย"
Perfect Storm กำลังมา! เศรษฐกิจถดถอย ส่อลากยาวถึงปีหน้า
เงินบาทในปัจจุบันถูกกระทบจากปัจจัยของเงินดอลลาร์ฯ แต่ธปท. ยังช่วยดูแลและลดความผันผวนของค่าเงิน
เงินบาทในปีนี้มีทิศทางอ่อนค่า สอดคล้องกับหลายสกุลเงินในเอเชีย ซึ่งล้วนได้รับผลกระทบจากปัจจัยของเงินดอลลาร์ฯ โดยเฉพาะการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ขณะที่มุมมองการคาดการณ์ของตลาด สะท้อนว่า ด้วยข้อจำกัดที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทำให้แม้ว่าธนาคารกลางของประเทศแถบเอเชียเหล่านี้จะเริ่มวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น แต่จังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็จะยังคงตามหลังดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อยู่พอสมควร
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว จะพบว่า สถานการณ์ในปัจจุบันมีความแตกต่างจากปี 2540 เพราะในปี 2540 เงินบาทที่อ่อนค่าเป็นผลมาจากการปรับอ่อนค่าหลังมีการลอยตัวค่าเงินเพื่อสะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแอของไทยในเวลานั้น
นอกจากนี้ หากดูในเรื่องความผันผวนของค่าเงิน จะพบว่า แม้เริ่มมีภาพการไหลออกของกระแสเงินลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรไทยหลังจากที่สหรัฐฯ เร่งขึ้นดอกเบี้ย แต่ค่าความผันผวนของเงินบาทในปี 2565 ก็ยังอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับภาพรวมของสกุลเงินเอเชียอื่นๆ ซึ่งมีค่าความผันผวนอยู่ที่ประมาณ 4-6% ซึ่งสะท้อนว่า ธปท. ยังคงช่วยดูแลความเคลื่อนไหวและลดความผันผวนของค่าเงินบาทท่ามกลางปัจจัยไม่แน่นอนรอบด้าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวะการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและราคาน้ำมัน ตลอดจนสถานการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัด ทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้ายในตลาดการเงิน และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการในภาคธุรกิจก็ควรที่จะเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมมาช่วยบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยเช่นกัน
วิกฤตเศรษฐกิจการเงินในปี 2540 ที่มีต้นตอมาจากความไม่สมดุลภายในและการผูกค่าเงิน แต่สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีความแตกต่าง เพราะต้องรับมือกับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก
โดยปี 2540 เศรษฐกิจไทยมีปัญหาความไม่สมดุลหลายด้าน ภาคเอกชนและสถาบันการเงินขาดการตระหนักถึงความเสี่ยง มีการใช้จ่ายและกู้ยืมเกินตัวเปิดความเสี่ยงด้าน Maturity and Currency Mismatch มีการก่อหนี้ต่างประเทศสูง และมีการเก็งกำไรอย่างกว้างขวางในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เศรษฐกิจภาพรวมมีปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเรื้อรัง ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนตรึงไว้กับตะกร้าเงิน ซึ่งทำให้ถูกโจมตีค่าเงิน และทางการไทยจำเป็นต้องนำทุนสำรองระหว่างประเทศไปใช้ดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาท โดยในเวลานั้น เงินสำรองระหว่างประเทศสุทธิลดลงเหลือเพียง 2.8 พันล้านบาท ณ มิ.ย. 2540
กลับมามองที่สถานการณ์ในปัจจุบัน จุดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดเจน ก็คือ ทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงและแข็งแกร่งกว่าในอดีตมาก โดยระดับเงินสำรองระหว่างประเทศสุทธิ (เงินสำรองฯ และ Net Forward Position) ของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2.51 แสนล้านบาท ณ 24 มิ.ย. 2565 ซึ่งสามารถรองรับภาระหนี้ต่างประเทศระยะสั้น การนำเข้า 3 เดือน และหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรได้เต็มจำนวน
ขณะที่สัดส่วนหนี้ต่างประเทศลดลงมาอยู่ที่ระดับ 38.2% ต่อจีดีพี ณ สิ้นปี 2564 นอกจากนี้ทางการได้เข้ามาดูแลการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นระยะผ่านมาตรการ อาทิ การกำหนดเกณฑ์ LTV ทำให้คลายกังวลต่อปัญหาดังกล่าวลงบางส่วน ซึ่งภาพเหล่านี้สะท้อนการเรียนรู้บทเรียนจากอดีตและการวางแนวทางเพื่อไม่ให้ไทยซ้ำรอยเดิม
อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีโจทย์จากปัจจัยภายนอก ซึ่งไม่เหมือนกับในอดีต โดยปัจจุบันมีต้นตอของปัญหามาจากโควิด-19 สงครามยูเครน-รัสเซียซึ่งกระทบราคาน้ำมัน รวมถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ทำให้มีทั้งประเด็นเฉพาะหน้าและโจทย์เชิงโครงสร้างที่ยังต้องติดตาม
- หนี้ต่างประเทศ จากบทเรียนในอดีตสะท้อนว่าประเด็นที่ต้องระมัดระวัง คือ ความผันผวนด้านอ่อนค่าของเงินบาทที่จะทำให้ภาระหนี้เพิ่มขึ้น และเมื่อดูเฉพาะในส่วนของหนี้ต่างประเทศระยะสั้นที่มียอดคงค้างที่ 7.42 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ พบว่า ราว 58.8% หรือ 4.37 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ เป็นหนี้ของภาคธุรกิจ ซึ่งคงต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในวิธีที่เหมาะสมกับกระแสรายรับ-รายจ่ายในรูปเงินตราต่างประเทศของแต่ละราย
- หนี้ของภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ และภาครัฐขยับสูงขึ้น เมื่อรวมกันแล้ว คิดเป็นสัดส่วน 228.4% ต่อจีดีพี (หนี้ครัวเรือน 90% หนี้ธุรกิจ 78.8% และหนี้สาธารณะ 59.6% ต่อจีดีพี) ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่า 149.8% ต่อจีดีพีในช่วงปี 2540 อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในปัจจุบันมีความแตกต่างและมีสาเหตุที่ไม่เหมือนกับช่วงวิกฤตปี 2540 โดยในปี 2540 ต้นตอปัญหามาจากการก่อหนี้ต่างประเทศและมาปล่อยกู้ผ่าน BIBF ขณะที่สถานการณ์ในปัจจุบัน หนี้ของภาคเอกชนและภาครัฐส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินบาทจากสภาพคล่องในประเทศเป็นหลัก นอกจากนี้คงต้องยอมรับว่า สาเหตุส่วนหนึ่งของหนี้ที่เพิ่มขึ้นทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมาจากการที่ต้องเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤตหลายระลอกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น แม้ปัญหาหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในภาคครัวเรือน จะเป็นโจทย์ระยะยาวที่ต้องมีการเข้าไปดูแล แต่ก็ไม่น่าจะสร้างปัญหาในระยะสั้นเหมือนกับหนี้ BIBF ในช่วงวิกฤต 2540
เมื่อมองลึกลงไปในมิติของเศรษฐกิจ ก็จะพบว่า เศรษฐกิจไทยปัจจุบันมีข้อจำกัดการเติบโตด้านรายได้ในระยะข้างหน้า โดยเศรษฐกิจที่พึ่งพิงการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่องเป็นสัดส่วนสูง ดังนั้นแม้ไทยเริ่มเปิดประเทศ แต่การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึงและขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการควบคุมสถานการณ์ของโรค ทำให้ความสามารถในการหารายได้ โดยเฉพาะของธุรกิจเอสเอ็มอีและประชาชนรายย่อยยังไม่กลับมาเป็นปกติ
นอกจากนี้การเติบโตของรายได้ในระยะข้างหน้ายังมีข้อจำกัดจากปัญหาด้านทักษะแรงงาน ขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจขนาดกลางและเล็ก การปรับโครงสร้างสู่ธุรกิจแห่งอนาคตซึ่งยังคงอยู่ระหว่างดำเนินการ แต่ไทยต้องเผชิญกับสนามการค้าโลกที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว และการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนแรงงานและภาระด้านสาธารณสุขในระยะยาว
แบงก์ไทยในวันนี้มีสถานะแข็งแกร่งกว่าปี 2540 แต่ก็มีโจทย์ในเรื่องการประคองความสามารถในการทำกำไรให้กลับมาเทียบเคียงระดับก่อนโควิด พร้อมๆ กับการดูแลปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ และการเร่งช่วยปรับโครงสร้างหนี้ในระยะยาวให้กับลูกหนี้
จุดอ่อนในภาคธนาคารที่เคยเป็นชนวนของวิกฤตสถาบันการเงินในช่วงปี 2540 ได้รับการแก้ไขมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง การบริหารความเสี่ยงแบบบูรณาการและครอบคลุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า รวมถึงการกำกับดูแลสถาบันการเงินที่สอดคล้องตามมาตรฐานสากล (Basel III) ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปัจจุบัน มีความเข้มแข็งมากขึ้นกว่าในปี 2540 มาก สะท้อนจากความมั่นคงของระดับเงินกองทุนและสภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงมีการจัดการปัญหาหนี้เสียในเชิงรุก โดยสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 19.79% (ณ เมษายน 2565) ซึ่งสูงกว่าในช่วงปี 2540 สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ในระดับต่ำกว่า 100% และสัดส่วน NPL ณ ไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 2.93% ต่อสินเชื่อรวมของระบบธนาคารพาณิชย์
อย่างไรก็ดี การประคองรายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารพาณิชย์ภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ยังคงเป็นสถานการณ์ที่มีความท้าทาย ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ธนาคารพาณิชย์ก็มีภารกิจในการดูแลช่วยเหลือลูกหนี้ (ณ เมษายน 2565 ยังมีลูกหนี้ที่อยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลืออีกประมาณ 12.1% ของสินเชื่อรวม) และเร่งปรับโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเปราะบาง เพื่อให้ภาระในการชำระคืนหนี้เหมาะสมกับศักยภาพและความสามารถในการหารายได้ของลูกหนี้ในระยะยาว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า จากประเด็นเศรษฐกิจการเงินต่างๆ ที่ยกมาเปรียบเทียบข้างต้นสะท้อนว่า ปัญหาของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันจะไม่เหมือนกับในปี 2540 และไทยก็ได้มีการเรียนรู้และปรับมาตรการและกฎเกณฑ์มาป้องกันการซ้ำรอย จนทำให้มีความเข้มแข็งมากขึ้นในหลายๆ ด้าน อาทิ ระดับทุนสำรองระหว่างประเทศ สถานะของสถาบันการเงิน และไม่มีภาวะเก็งกำไรในวงกว้างแบบในปี 2540
อย่างไรก็ดี จากผลกระทบของปัจจัยภายนอก ทั้งวิกฤตโควิด สงครามยูเครน-รัสเซีย ปัญหาราคาน้ำมันสูง และการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ทำให้โจทย์ที่สำคัญ คือ การช่วยประคองภาคครัวเรือนและธุรกิจให้สามารถรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้า อาทิ แรงกดดันเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ/ต้นทุนที่สูง และดอกเบี้ยในประเทศที่กำลังจะขยับขึ้น พร้อมๆ กับการวางแนวทางรับมือกับโจทย์เชิงโครงสร้าง ทั้งระดับหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น การยกระดับทักษะแรงงาน การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และเร่งผลักดันการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลดอุปสรรคที่เป็นข้อจำกัดการเติบโตของเศรษฐกิจและรายได้ในอนาคต