“ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย” เลือกอย่างไรเมื่อมีบ้าน คอนโด
ความจำเป็นของ “ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย” อุบัติเหตุ ไฟไหม้ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงด้านค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเต็ม ๆ 100%
เมื่อเราเป็นเจ้าของบ้าน คอนโดมิเนียม ที่อยู่อาศัย เพราะอุบัติเหตุ ไฟไหม้ น้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือภัยอื่น ๆ อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง ทำให้ผู้เสียหายต้องสูญเสียเงินหลักแสนจนถึงหลักล้านบาท ที่ต้องนำมาใช้ในการซ่อมแซมให้กลับมาเหมือนเดิมหรือสร้างที่อยู่อาศัยใหม่
เปิดเกณฑ์ "ช่วยน้ำท่วมปี 65" กว่าล้านครัวเรือน สูงสุด 9,000 บาท
ครม. ผ่านแล้ว! เก็บภาษีหุ้น ปีแรก 0.05% ของมูลค่าหุ้นที่ขาย
เพราะฉะนั้น การมีประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยไว้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นวิธีการที่เหมาะสมในการจัดการกับความเสี่ยงเหล่านั้น
ด้วยการโอนความเสี่ยงจากค่าความเสียหายของเจ้าของที่อยู่อาศัยไปยังบริษัทประกันภัย แทนการรับความเสี่ยงด้านค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเต็ม ๆ 100%
แต่ก่อนตัดสินใจเลือกทำประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย ควรคำนึงถึงประเด็นเบื้องต้น คือ
1.ความคุ้มครองที่เจ้าของที่อยู่อาศัยต้องการ
โดยทั่วไปการทำประกันอัคคีภัยมักจะรวม 6 ภัยหลัก ๆ ได้แก่ ไฟไหม้ ฟ้าผ่า การระเบิด ภัยจากยานพาหนะหรือสัตว์พาหนะ (ช้าง ม้า วัว ควาย) ภัยจากอากาศยานหรือวัตถุที่ตกจากอากาศยาน และภัยอันเนื่องจากน้ำ
นอกจากนี้ยังมีภัยอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้จากสถานที่ตั้งของที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อม แม้ว่าโอกาสการเกิดภัยอาจไม่บ่อยหรือน้อยมาก แต่หากเกิดขึ้นค่าความเสียหายก็สูง เจ้าของที่อยู่อาศัยก็ควรเพิ่มความคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ ด้วย เช่น ภัยน้ำท่วม ภัยลมพายุ ภัยแผ่นดินไหว ภัยโจรกรรม เป็นต้น
2. ทรัพย์สินที่สามารถเอาประกันอัคคีภัยได้ ได้แก่ บ้าน ทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด ตึกแถวสำหรับที่อยู่อาศัย โรงรถ และอาคารย่อย เช่น เรือนคนรับใช้ เรือนครัว รวมทั้งกำแพง รั้ว ประตู ส่วนที่ปรับปรุงหรือต่อเติม เฟอร์นิเจอร์ เครื่องตกแต่ง และทรัพย์สินอื่น ๆ เพื่อการอยู่อาศัย
ส่วนทรัพย์สินที่ไม่ได้รวมอยู่ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย ยกเว้นว่าจะระบุไว้อย่างชัดเจน เช่น รากฐานของสิ่งปลูกสร้าง ทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ อัญมณี เอกสารสำคัญต่าง ๆ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า ยานพาหนะ ต้นไม้ การจัดสวน สนามหญ้า เป็นต้น
3. การคำนวณเงินทุนประกันอัคคีภัยที่เหมาะสม
เจ้าของที่อยู่อาศัยจะต้องแยกราคาที่ดิน ราคาสิ่งปลูกสร้าง และทรัพย์สินภายในที่อยู่อาศัย เช่น ราคาที่ดิน 1,000,000 บาท ราคาสิ่งปลูกสร้างหรือตัวอาคาร 1,500,000 บาท (ไม่รวมฐานราก) และราคาทรัพย์สินภายในอาคารตกแต่งเพื่อการอยู่อาศัย 1,500,000 บาท
ทุนประกันอัคคีภัยที่เหมาะสม คือ 3,000,000 บาท (1,500,000 บาท + 1,500,000 บาท)
ถ้าเจ้าของที่อยู่อาศัยต้องการเพิ่มความคุ้มครองพิเศษในรายการอื่น ๆ ที่มีราคาสูงนอกเหนือจากทรัพย์สินภายในอาคารข้างต้น ก็ควรเก็บใบเสร็จหรือใบราคานั้น ๆ เพื่อความสะดวกในการกำหนดวงเงินประกันและเคลม เช่น ตู้เย็น ทีวี อุปกรณ์กอล์ฟ จักรยานที่มีราคาสูง เป็นต้น
การเคลมประกันอัคคีภัย บริษัทอาจจ่ายค่าสินไหมน้อยกว่า 100% ของมูลค่าความเสียหาย
เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด เจ้าของที่อยู่อาศัยควรทำประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยที่ทุนประกันไม่ต่ำกว่า 70% ของมูลค่าทรัพย์สิน เช่น มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด 3,000,000 บาท ทุนประกันที่ 70 - 100% ของมูลค่าทรัพย์สิน คือ 2,100,000 – 3,000,000 บาท
หากเกิดอัคคีภัยที่มีความเสียหายทั้งหมด บริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็ม 100% ของจำนวนทุนที่ทำไว้ แต่ถ้าทำทุนประกันภัยต่ำกว่า 70% ของมูลค่าทรัพย์สิน เช่น ทุนประกันภัยที่ 60% ของมูลค่าทรัพย์สิน 3,000,000 บาท
เมื่อเกิดอัคคีภัยและมีความเสียหายทั้งหมด เจ้าของที่อยู่อาศัยจะต้องรับค่าความเสียหายส่วนแรกเอง 1,200,000 บาท (40% x 3,000,000 = 1,200,000)
และบริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหม 60% ของมูลค่าทรัพย์สินที่ทำประกัน คือ 1,800,000 บาท (60% x 3,000,000 = 1,800,000) ดังนั้น จะได้รับค่าสินไหมเท่ากับ 1,080,000 บาท (60% x 1,800,000 = 1,080,000)
นอกจากการทำทุนประกันภัยที่ควรทำมากกว่า 70% ของมูลค่าทรัพย์สินแล้ว เจ้าของที่อยู่อาศัยต้องทำความเข้าใจเรื่องค่าความรับผิดส่วนแรกของการเคลมประกันอัคคีภัยในแต่ละกรณีด้วย เช่น
เจ้าของที่อยู่อาศัยมีทุนประกันภัยอันเนื่องมาจากน้ำ 200,000 บาท บริษัทประกันได้กำหนดค่าความรับผิดส่วนแรกในการเคลม 2,000 บาท ต่อเหตุการณ์ ถ้าที่อยู่อาศัยมีน้ำรั่วซึม มีการประเมินความเสียหายประมาณ 100,000 บาท เจ้าของบ้านสามารถเคลมได้สูงสุด 98,000 บาท (100,000 บาท – 2,000 บาท)
การเลือกชำระเบี้ยตามจำนวนปีที่เพิ่มขึ้น เบี้ยประกันเฉลี่ยต่อปีลดลง
เจ้าของที่อยู่อาศัยประหยัดเบี้ยประกันได้มากขึ้น กล่าวคือ การเลือกทำประกันภัย 2 ปี บริษัทจะคิดเบี้ยประกันภัย เท่ากับ 175% ของเบี้ยประกันภัย 1 ปี ถ้าเบี้ยประกันภัย 1 ปี 1,000 บาท เบี้ยประกันภัย 2 ปีจะอยู่ที่ 1,750 บาท เบี้ยเฉลี่ยต่อปี 875 บาท ทำให้ประหยัดเงินได้ 250 บาท
ถ้าหากเลือกทำประกันภัย 3 ปี บริษัทจะคิดเบี้ยประกันภัย เท่ากับ 250% ของเบี้ยประกันภัย 1 ปี เบี้ยประกันภัย 3 ปีจะอยู่ที่ 2,500 บาท เบี้ยเฉลี่ยต่อปี 833.33 บาท ทำให้ประหยัดเงินได้ 500 บาท ที่ความคุ้มครองเท่าเดิม
ทั้งนี้เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี มูลค่าทรัพย์สินอาจเปลี่ยนไปมีค่ามากขึ้น เจ้าของที่อยู่อาศัยจึงควรสำรวจทุนประกันภัยให้เหมาะสมกับมูลค่าทรัพย์สินด้วย
ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยมีความสำคัญไม่น้อย เพราะหากเกิดอัคคีภัยขึ้นจะทำให้มีค่าความเสียหายและค่าใช้จ่ายสูง จากเทคนิคข้างต้นจะช่วยเป็นแนวทางให้เจ้าของที่อยู่อาศัยเลือกทำประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยในเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง
โดยเลือกทำประกันอัคคีภัยหลักที่ตอบโจทย์เรื่องความเสียหายจากไฟไหม้ และเมื่อมีกำลังทรัพย์มากขึ้น มีห่วงภัยด้านต่าง ๆ มากขึ้น ก็สามารถขยายความคุ้มครองในปีถัด ๆ ไปได้ เพื่อจะได้ชำระเบี้ยประกันที่ไม่สูงจนเกินไป แต่ยังคงบรรเทาความเสียหายได้มาก
ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย