เปิดโผ 21 หุ้นจ่อเข้า-ออก ดัชนี SET50, SET100 รอบครึ่งแรกปี 66
โบรกฯ เปิดรายชื่อ 21 หุ้นไทย คาดการณ์ว่าจะถูกคัดเลือกเข้า-ออก ดัชนี SET50, SET100 ในช่วงครั้งปีแรก 2566
เงินบาทเช้านี้แข็งค่า รับเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุด หนุนเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย
ก.ล.ต.ฟันบิ๊ก EARTH รวมพวก 14 ราย ปั่นหุ้นปี59 ส่งดีเอสไอ-ปปง.ดำเนินคดี
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส (ASPS) เผยผ่านบทวิเคราะห์ระบุว่า แรงขับเคลื่อนหลักของตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในช่วงปลายปี 2565 ต่อเนื่องต้นปี 2566 อยู่ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่สวนทางหลายประเทศทั่วโลก ซึ่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะถดถอย (Recession)
โดยดัชนีที่บ่งชึ้การฟื้นตัวมีความสอคล้องกันในหลายเรื่อง ทั้งดุลการค้า และดุลบริการที่ดีขึ้น ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเป็นบวก และหนุนให้ทุนสำรองระหว่างประเทศสูงขึ้น จนทำให้เงินบาทแข็งค่า
ต่อมาเป็นเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สร้างแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องมาจากการเปิดประเทศหลังช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าน่าจะเห็นกระแสเงินทุน (Fund Flow) ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยได้ต่อ
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย ASPS ทำการคำนวณหาหุ้นเข้าออก SET50, SET100 รอบครึ่งแรกของปีหน้า 2566 (1H66) โดยคาดตลาดฯ ประกาศสัปดาห์ที่ 3 เดือน ธ.ค. และมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 66 ประกอบด้วย
หุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 คือ DELTA, RATCH, COM7 และอีก 1 บริษัทอาจะเป็น BJC มีโอกาส 75% หรือ CENTEL 25% ขึ้นอยู่กับการกำหนดกฏเกณฑ์เรื่องระยะเวลาของสภาพคล่องที่ใช้คำนวณ
หุ้นออกจาก SET50 คือ SAWAD, KCE, IRPC และ BLA
หุ้นที่คาดว่าเข้า SET100 คือ DELTA, BYD, AAV, NEX, BA และ TVO
หุ้นออกจาก SET100 คือ TTA, SYNEX, SUPER, STEC, MAJOR และ BEC
อย่างไรก็ตาม จากสถิติในอดีต หุ้นที่ถูกคัดเข้ามักจะปรับตัวเพิ่มขึ้น และหุ้นที่ออกมักจะปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในช่วง 1 เดือนก่อนมีผลบังคับใช้ โดยหุ้นเข้า SET50 มักปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย +5.7% ออก -2.1% และหุ้นเข้า SET100 มักปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย +1.3% ออกลบเล็กน้อย -0.9%
จากรายชื่อดังกล่าว ฝ่ายวิจัยมองว่ามีหุ้นที่แนะนำมาตลอด 3 บริษัท คือ COM7 (เข้า SET50), STEC BEC (ออก SET100) ซึ่งมีปัจจุบันมีสัดส่วนการถือครองจากกองทุนในประเทศที่ต่ำกว่าปกติ (Under-Owned) และได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยหุ้นที่ถูกคัดเข้า SET50 อย่าง COM7 น่าจะมีแรงหนุนเพิ่มเติมทั้งจาก Active Fund และ Passive Fund ส่วน STEC, BEC น่าจะถูกกดดันต่ำ เนื่องจากกองทุนถือครอง น้อยกว่าปกติอยู่แล้ว และราคาที่อยู่ในระดับต่ำ Upside เปิดกว้าง พร้อมกับยังได้แรงหนุน จากเศรษฐกิจในประเทศที่อยู่ในแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจน