เปิดโผ 6 หุ้น สาธารณูปโภค-คมนาคม รับมือเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก
สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกยังอยู่ในภาวะถดถอย (Recession) โบรกฯแนะ 6 หุ้น สาธารณูปโภค-คมนาคม ที่คาดว่าได้รับผลกระทบน้อยสุด และได้แรงหนุนช่วงเปิดประเทศ
ราคาทองวันนี้ "ปรับขึ้น 50 บาท" ตามทิศทางตลาดโลกขึ้นแรง
ค่าเงินบาทเช้านี้ "แข็งค่า" วิตกเศรษฐกิจสหรัฐดิ่งฉุดดอลลาร์อ่อน
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส (ASPS) เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ระบุว่า ตลาดหุ้นไทย (SET Index) ยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบช่วง 1,610 - 1,630 จุด เนื่องจากเป็นวันทำการสุดท้าย ก่อนหยุดยาว รวมถึงได้รับแรงกดดันจากรัฐบาลเรียกเก็บภาษีซื้อขายหุ้น โดยกรมสรรพากรคาดว่าจะประกาศใช้เร็วสุดวันที่ 1 พ.ค. 66 ส่งผลให้วานนี้ (9 ธ.ค.65) ตลาดหุ้นไทย มีมูลค่าซื้อขาย 4.26 หมื่นล้านบาท ต่ำสุดเป็นอันดับ 3 ของปี 65
ทั้งนี้นักลงทุนต่างจับตามองการประชุมของธนาคารกลางต่าง ๆ ครั้งสุดท้ายของปี 65 ในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (FED) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.5% ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอตัวลง จากก่อนหน้านี้ที่ปรับขึ้น 0.75% ติดต่อกัน 4 ครั้ง ทำให้ปลายปีดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะอยู่ที่ระดับ 4.5%
ด้าน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) คาดว่ายังคงเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.5% หลังเงินเฟ้อในยุโรปยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้หาก เฟด มีการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยตามคาด ท่ามกลางการเร่งขึ้นดอกเบี้ยในฝั่งยุโรป จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาห์อ่อนค่า หนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ รีบราวด์กลับไปเป็นบวกต่อเนื่อง
ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะถดถอย (Recession) ในหลายประเทศทั่วโลก กดดันความต้องการซื้อของผู้บริโภคในสินค้าและบริการหลายภาคส่วน ส่งผลให้ความต้องการใช้ชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตามจะมีกลุ่มหนึ่งที่ภายใต้เศรษฐกิจที่ผันผวนจะได้รับผลกระทบน้อยสุดได้แก่ กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) เพราะถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนต้องใช้ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร ดังนั้นภายใต้ภาวะการณ์ปัจจุบันกลุ่มโรงไฟฟ้า และประปา คาดจะได้รับผลกระทบน้อยสุด และสามารถรักษาฐานกำไรให้อยู่ในระดับสูงได้ต่อเนื่อง จึงแนะนำกลุ่มโรงไฟฟ้าทั้งกลุ่มดังแสดงในตาราง และกลุ่มธุรกิจน้ำประปาแนะนำ TTW
สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้ามีปัจจัยบวกจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ทยอยปรับตัวลดลง ขณะที่ค่า Ft มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือทรงตัวในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรในส่วนของที่ขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น มีรายละเอียดแต่ละบริษัทดังนี้
- BGRIM มีสัดส่วนลูกค้าอุตสาหกรรมราว 23% ของรายได้ขายไฟฟ้าโดยรวม ค่า Ft ที่ปรับขึ้นทุก ๆ 1 สตางค์ จะส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรเพิ่มขึ้นราว 21 ล้านบาท/ปี ขณะที่ราคาก๊าซฯที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 1 บาท/ล้านบีทียู จะส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรลดลงราว 17 ล้านบาท/ปี
- GPSC มีสัดส่วนลูกค้าอุตสาหกรรมราว 26% ของรายได้ขายไฟฟ้าโดยรวม ค่า Ft ที่ปรับขึ้นทุก ๆ 1สตางค์ จะส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรเพิ่มขึ้นราว 60ล้านบาท/ปี ส่วนราคาก๊าซฯที่ปรับขึ้นทุก ๆ 1 บาท/ล้านบีทียู จะส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรลดลงราว 30 ล้านบาท/ปี
- GULF มีสัดส่วนกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมราว 14% ของรายได้ขายไฟฟ้าโดยรวม ค่า Ft ที่ปรับขึ้นทุกๆ 1 สตางค์ จะส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรเพิ่มขึ้นราว 30 ล้านบาท/ปี ส่วนราคาก๊าซฯที่ปรับขึ้นทุก ๆ1บาท/ล้านบีทียูจะส่งผลให้บริษัทมีกำไรลดลงราว 12 ล้านบาท/ปี
นอกจากนี้ กลุ่มคมนาคม ได้แรงหนุนจากการทยอยเปิดประเทศ เสริมด้วยนักท่องเที่ยวที่เข้ามาไทยเพิ่มขึ้นทุกเดือน หนุนการจราจรหนาแน่นขึ้นตามลำดับ ถือเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนหุ้นสนามบิน รถไฟฟ้า ทางด่วน ซึ่งมีเกราะป้องกันภาวะถดถอย อย่าง AOT, BEM
จากข้อมูลตัวเลข Google Mobility ที่ชี้วัดการเข้าถึงของผู้คนบนระบบขนส่งมวลชนที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลบวกโดยตรงต่อ BEM ในฐานะผู้ให้บริการรถไฟฟ้าใต้และทางด่วนสำคัญในกรุงเทพ
โดยจำนวนผู้ใช้รถไฟฟ้าใต้ดินเฉลี่ยเดือน ต.ค. อยู่ที่ 3.4 แสนเที่ยว/วัน เทียบเท่า 80% กับช่วงเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด เช่นเดียวกับจำนวนผู้ใช้ทางด่วนเฉลี่ยเดือน ต.ค. ที่อยู่ที่ 1.0 ล้าน เที่ยว/วัน เทียบเท่า 83% กับช่วงเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด พร้อมกระแสเชิงบวกจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกที่คาดหวังว่า BEM จะเซ็นสัญญากับ รฟม. ในเวลาไม่
นานจากนี้ รวมถึง Upside เพิ่มเติมจากโครงการใหม่ ๆ ในอนาคต ทั้งโครงการ Double Deck เพื่อเพิ่มพื้นที่จราจรบนทางด่วน และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ที่ BEM น่าจะเจรจาตรงกับ รฟม.เพื่อรับเป็นผู้ดำเนินการเดินรถ ภายใต้แนวคิด “One Line One operator” เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงทั้งเส้นทาง