ราคาทองวันนี้ ปิดตลาดไม่เปลี่ยนแปลง ขยับขึ้นช่วงบ่ายจากบาทอ่อน
ราคาทองวันนี้ ปิดตลาดไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงวันหยุดที่ผ่านมา โดยราคาขยับขึ้นในช่วงบ่าย 50 บาท ขณะที่ช่วงเช้าลดลง 50 บาท ทำให้วันนี้ไม่เปลี่ยนแปลง
สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาทองคำในประเทศวันนี้ (13 ก.พ. 66) ฮั่วเซ่งเฮง มอง ทองสปอตขยับพร้อมจะลง เงินบาทดีดตัวอ่อนค่าขึ้นไปรอใกล้ 34 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนราคาทองไทยอาจยืนเหนือ 30,000 ได้บ้างในสัปดาห์นี้
- ทองคำแท่ง รับซื้อคืน 29,700.00 บาท/บาททองคำ และขายออก 29,800.00 บาท/บาททองคำ
- ทองรูปพรรณ รับซื้อคืน 29,167.84 บาท/บาททองคำ และขายออก 30,300.00 บาท/บาททองคำ
ทองคำในประเทศ อ้างอิงตลาดสปอตที่ 1,863.50 ดอลลาร์/ออนซ์ และอิงค่าเงินบาท 33.80 บาท/ดอลลาร์
แนวโน้มตลาดทองคำ ดูลงมากกว่าขึ้น โดยทองไทยเปิดเช้านี้ลงมา 50 บาท
คาดเงินบาทสัปดาห์นี้แนวโน้มอ่อนค่า ซื้อขายในกรอบ 33.50-34.20
ราคาทองคำตลาดฟิวเจอร์ในช่วงท้ายตลาดเอเชีย ย่อตัวลงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ห้างทองฮั่วเซ่งเฮง ประเมินว่าสัญญาณทางเทคนิคของราคาทองคำมีทิศทางขาลง คาดว่าหากราคาทองคำหลุดแนวรับ 1,850 ดอลลาร์ จะส่งผลให้เกิดแรงเทขายออกมาจำนวนมากอีกครั้ง ทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มจะปรับตัวลงต่อไปยังบริเวณ 1,820-1,830 ดอลลาร์
แนะนำเปิดสถานะขาย เมื่อราคาทองคำหลุดแนวรับ 1,850 ดอลลาร์ หรือเมื่อราคาทองคำดีดตัวขึ้น
ทั้่งนี้ ราคาทองคำได้รับแรงกดดันจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ กดดันทองคำมีทิศทางขาลง แต่ทองคำยังมีปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย รวมถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ได้แก่ สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ทวีความรุนแรงขึ้น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน และปัยหาหนี้สหรัฐฯ ชนเพดานที่ระดับ 31.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
ส่วนปัจจัยลบที่ฉุดราคาทองคำมาจากการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีความคืบหน้ามากขึ้น และการสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเจ้าหน้าที่เฟด
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำยังเคลื่อนไหวในทิศทางขาลง ซึ่งราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดใกล้แนวรับสำคัญที่ 1,850 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน จากที่ดอลลาร์เริ่มกลับมาแข็งค่า เนื่องจากเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายต่างสนับสนุนการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระยะสูง แม้ว่าจะเริ่มมีสัญญาณชะลอตัวลงของอัตราเงินเฟ้อ แต่ก็ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น ส่งผลให้นักลงทุนปรับเพิ่มมุมมองการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้น
คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้ง ซึ่งจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค. และเดือนพ.ค. ก่อนที่จะตรึงอัตราดอกเบี้ยยาวไปจนถึงเดือนธ.ค. จากเดิมที่เคยมีการคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เพียง 1 ครั้งในเดือนมี.ค. เท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับการส่งสัญญาณของประธานเฟดที่ได้แถลงการณ์ล่าสุดว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้ง เพื่อฉุดเงินเฟ้อให้ลดลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%
ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่ต้องติดตาม คือข้อมูลอัตราเงินเฟ้อที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดในการประชุมเดือนมี.ค. หากอัตราเงินเฟ้อยังคงมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงต่อไป ก็ยิ่งส่งผลต่อการคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามเดิม
จับตาประเด็นกรณีบอลลูนสอดแนมจีน หลังจากที่สหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นบัญชีดำ 6 องค์กรจีน
แม้ว่าประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะพยายามสร้างความมั่นใจว่ากรณีสหรัฐฯ ที่ได้มีการยิงสอยบอลลูนสอดแนมจีนตกหล่น จะไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ แต่นั่นอาจเป็นเพียงความเห็นของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนเดียวเท่านั้น เพราะทางจีนแม้ยังไม่ได้ใช้มาตรการตอบโต้อะไรใด ๆ เนื่องจากอาจยังไม่อยากออกมาตรการที่กระทบความสัมพันธ์ที่รุนแรงเช่นกัน แต่ก็มีความไม่พอใจอย่างมาก และไม่ได้มีการติดต่อพูดคุยอะไรใด ๆ
แต่กรณีดังกล่าวนั้นก็ทำให้นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าเป็นมือวางอันดับ 2 รองจากประธานาธิบดีก็ว่าได้ ได้ตัดสินใจเลื่อนการเดินทางเยือนจีนโดยไม่มีกำหนด ขณะที่สหรัฐฯ ยังเดินหน้าเก็บซากบอลลูน เพราะยังคงเชื่อมั่นว่าจะได้ข้อมูลมากขึ้นเกี่ยวกับขีดความสามารถของการสอดแนมจีน
ประกอบกับล่าสุดได้มีการขึ้นบัญชีดำองค์กรของจีน 6 แห่ง ซึ่งก็ได้แก่ บริษัทจีน 5 แห่งและสถาบันวิจัยจีน 1 แห่ง ในข้อหาให้การสนับสนุนความพยายามที่จะปรับปรุงกองทัพจีนให้ทันสมัย ซึ่งต้องจับตาความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ และจีนที่กำลังตกอยู่ในภาวะที่ตึงเครียดมากขึ้น ถึงแม้เราคาดว่าความขัดแย้งระหว่าง 2 มหาอำนาจนั้น อาจจะไม่เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงในทันที แต่มันจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ ย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ และจะเริ่มมีการแบ่งขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจกันมากขึ้น
ขณะที่จีนได้มีการเชิญประธานาธิบดีอิหร่านมาพูดคุยเจรจากันในวันที่ 14-16 ก.พ. นี้ พร้อมกับเซ็นเอกสารเกี่ยวกับความร่วมมือร่วมกัน ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างจีนและอิหร่าน ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนในขณะนี้