ต่างชาติเมินหุ้นไทย ไร้ปัจจัยดึงดูด บลจ.ทิสโก้ มองเป้าแค่ 1,600 จุด
บลจ.ทิสโก้ ตั้งเป้าดัชนีหุ้นไทย 1,600 จุด รับแรงหนุนท่องเที่ยวฟื้นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังมีปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนของรัฐบาลใหม่และความชัดเจนของนโยบายต่าง ๆ รวมถึงเงินทุนต่างชาติที่ไหลออกจากตลาดหุ้น คาดว่ายังไม่ไหลกลับมาในเร็ว ๆ นี้ แนะลงทุนหุ้น 3 กลุ่มรับอานิสงส์ท่องเที่ยว
เอกชนเชื่อตั้งรัฐบาลใหม่ ท่องเที่ยวไตรมาส 4 ปังแน่นอน
คาดเฟดคงดอกเบี้ยในการประชุม 13-14 มิ.ย. แต่ไม่ปิดทางขึ้นดอกเบี้ย
นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้บริหารสายงานจัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (TISCO) ประเมินการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 โดยคาดการณ์เป้าหมายดัชนีหุ้นไทย (SET Index) จะอยู่ที่ 1,600 จุด จากปัจจัยหนุนอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะชาวจีนที่คาดว่าครึ่งปีหลังจะมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นคาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้ (GDP) จะอยู่ที่ 3.3%
ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านตลาดหุ้นไทยมีเงินลงทุนต่างชาติ (FundFlow) ไหลออกมาจำนวนมากราว 1 แสนล้านบาท เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนไทยมีผลกำไรชะลอตัวลงจากฐานที่สูงในปี 65 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ต่างชาตินำเงินออกไปลงทุนในตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ขณะเดียวกันจากสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ทำให้นักลงทุนบางส่วนได้ปรับลดขนาดการลงทุน เพราะต้องการรอความชัดเจนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่คาดว่าจะเกิดในเดือน ส.ค. 66 นี้ และถึงแม้จะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้แล้ว ก็ยังต้องรอความชัดเจนในเรื่องของนโยบายรัฐบาล รวมถึงความล่าช้าของงบประมาณปี 2567
“ในเรื่องของการเมืองเราไม่ได้มองว่ามันจะเป็นเรื่องเลวร้ายของการลงทุน เพราะคิดว่าส่วนหนึ่งตลาดหุ้นมีการปรับลงมาในระดับที่รับรู้ไปบางส่วนแล้ว ถึงแม้วันนี้มีการฟอร์มรัฐบาลได้ ผมว่ามันก็ไม่ได้ปรับขึ้นไปมากเหมือนกัน เพราะยังมีความไม่ชัดเจนอยู่”
“ในช่วงช่วงระยะกลางมองว่ากรอบ 1,500-1,600 น่าจะพอไหวอยู่ และน่าจะเป็นกรอบที่โอเค แต่ระยะสั้นถ้าเกิดอะไรที่กระทบแรงๆ มันมีโอกาสที่ลงไปได้ ต้องเป็นอะไรที่กระทบแรง ๆ และไม่เคยเกิดขึ้น อันนี้ผมจะกลัว อย่างเช่นตอนโควิด-19”
นอกจากนี้เรื่องเงินลงทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้น ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงที่ไทย แต่ยังเกิดขึ้นหลายประเทศของในภูมิภาค เนื่องจากปีที่แล้วภูมิภาคเป็นโซนที่หลุบภัยของนักลงทุนต่างชาติ และในปีนี้เมื่อสถานการณ์โลกเริ่มคลี่คลาย เงินทุนต่างชาติจึงไหลกลับเข้าไปในสหรัฐฯ และยุโรป
โดยคาดว่าเงินลงทุนต่างชาติอาจยังไม่กลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากยังไม่ปัจจัยอะไรที่สามารถจะดึงดูดเงินนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาได้ทั้งในภูมิภาค และในประเทศไทย
จากปัจจัยดังกล่าว บลจ.ทิสโก้มองว่า การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ควรเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่ได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว เช่น กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มค้าปลีก กลุ่มการท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่มที่ราคาหุ้นลงมามากและราคาสะท้อนปัจจัยลบแล้ว เช่น กลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ด้านการลงทุนในต่างประเทศ บลจ.ทิสโก้ คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกา (CPI) จะปรับลดเหลือ 4% แต่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ เฟด (Fed) ยังมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในการประชุม 13-14 มิ.ย. 66 นี้ ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงระยะสั้น และอาจเกิดการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนไปยังหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่ราคาปรับขึ้นมาสูงพอสมควรแล้ว มีโอกาสจะถูกนักลงทุนเทขายทำกำไร
อย่างไรก็ตามยังมีโอกาสทยอยสะสมหุ้นในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนดี เช่น กลุ่มเฮลธ์แคร์ และกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตของเงินปันผล ซึ่งสามารถรองรับความเสี่ยงได้ดีกว่าหุ้นกลุ่มอื่น
ในส่วนตลาดตราสารหนี้ ต้องเลือกเน้นที่มีคุณภาพดี และให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ใกล้จุดสูงสุด คือ ได้ผลตอบแทนสูง เช่น หากลงทุนตราสารหนี้สหรัฐฯ ระยะสั้น 1 ปี อาจจะได้ผลตอบแทนราว 5% ส่วนตราสารหนี้ระยะยาว หากดอกเบี้ยเริ่มปรับลดลงในปีหน้า 67 ตราสารหนี้ระยาวที่มีผลตอบแทนสูงกว่า ณ ขณะนั้น ราคาจะปรับตัวสูงขึ้น
ด้านการลงทุนทองคำ มีข้อดีคือเป็นที่หลบภัยของนักลงทุน (Safe Haven) เมื่อตลาดหุ้นขาลง และ เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เหล่าธนาคารกลางหลายต่าง ๆ มักจะหันเข้ามาลงทุนในทองคำมากขึ้น แต่ในระยะข้างหน้าหลังจากนี้มองแนวโน้มราคาทองคำอาจจะปรับขึ้นไม่มาก หากไม่ได้มีปัญหาภูมิรัฐศาสตร์รุนแรง หรือสงครามเกิดขึ้น