น้ำมันดิบร่วง 3% ลิเบียเปิดผลิตบ่อน้ำมัน - เศรษฐกิจจีนไตรมาส 2/66 โตน้อยลง
น้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 3% ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จากปัจจัยลิเบียกลับมาเปิดบ่อผลิตน้ำมันดิบได้ครบทุกแห่งจากเหตุประท้วง รวมถึงล่าสุดจีน ผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก ประกาศ จีดีพี ไตรมาส 2 ปี 66 ขยายตัวลดลงต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
“กัมพูชายังมีพื้นที่ให้เติบโต” โอกาสของธุรกิจวิทยุการบิน “สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์”
ค่าเงินบาทวันนี้ เปิดตลาดแข็งเล็กน้อย จับตาโหวตนายกฯ 19 ก.ค.นี้
เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2566 สถานการณ์น้ำมันดิบตลาดโลก ราคาเริ่มปรับลดลงจากแรงเทขายตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา (14 ก.ค.66) เนื่องจากประเทศลิเบีย กลับมาเปิดบ่อผลิตน้ำมันดิบได้อีกครั้ง ทำให้อุปทานน้ำมันลดการตึงตัว (ปริมาณการผลิตน้ำมันรวมในตลาด)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบทั่วโลกล่าสุดวันนี้
- สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ปรับลด 0.71 ดอลลาร์ หรือ -0.89% ล่าสุดอยู่ในระดับ 79.16 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล รวม 2 วันทำการ ลดลงราว 3.03%
- สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเวสต์เท็สซัส (WTI) ปรับลด 0.67 ดอลลาร์ หรือ -0.89% ล่าสุดอยู่ในระดับ 74.65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล รวม 2 วันทำการ ลดลงราว 3.36%
โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลลิเบีย ต้องสั่งต้องปิดดำเนินการบ่อน้ำมันราว 3 ใน 4 ส่วนของบ่อน้ำมันทั้งหมดในประเทศ คิดเป็นกำลังผลิตรวม 370,000 บาร์เรลต่อวัน เนื่องจากการประท้วงของผู้ชุมนุมต่อการลักพาตัวอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ก่อนจะสามารถกลับมาเปิดผลิตทุกบ่ออีกครั้งในช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันยังเผชิญแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่กลับมาแข็งค่าขึ้น ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ปรับตัวสูงขึ้น 0.40% ที่ 99.65 จากระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี ส่งผลให้ความน่าสนใจในการลงทุนในตลาดน้ำมันลดลง เนื่องจากสัญญานน้ำามันดิบจะมีราคาแพงขึ้น สำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่น
ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 65 จนถึงปัจจุบัน ดัชนีที่ปรับลดลงบ่งชี้ว่าเงินดอลลาร์ยิ่งอ่อนค่า
ล่าสุด จีน เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี (GPD) ไตรมาส 2 ปี 66 เติบโตขึ้น 6.3% เมื่อเทียบรายปี เพิ่มขึ้นจาก 4.5% ในไตรมาสก่อนหน้า ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ 7.3% และเมื่อเทียบรายไตรมาส เติบโตจากไตรมาส 0.8% ชะลอลงจากไตรมาสแรกที่มีการขยายตัว 2.2% โดยเป็นผลมาจากอุปสงค์อ่อนแอลงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้เพิ่มแรงกดดันรัฐบาลจีนเร่งออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับจีนถือเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบมากที่สุดในโลก การเติบโตของเศรษฐกิจจีน มีผลต่อความต้องการใช้เชื้อเพลิงในประเทศ
ด้านบริษัทหลักย์ เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังอยู่ในภาวะผันผวนจากทั้งอุปสงค์ (demand) และ (supply) ที่แท้จริง รวมถึงประเด็นบวกและลบต่อราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นระหว่างทาง
ซึ่งหากพิจารณาภายใต้ demand และ supply ที่แท้จริง และราคาน้ำมันในปัจจุบัน ฝ่ายวิจัยยังคงมุมมองที่คาดทิศทางราคาน้ำมันน่าจะเริ่มมี downside ที่จำกัดมากขึ้น จากการจำกัด supply ของกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ส่วนการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันจะมีเสถียรภาพมากน้อยเพียงใดยังขึ้นอยู่กับ demand ซึ่งแปรผันตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยกำหนดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2566 อยู่ที่ 90 เหรียญฯ/บาร์เรล และระยะยาวตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไปอยู่ที่ 75 เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่งภายใต้สมมติฐานดังกล่าวมูลค่าพื้นฐานของ PTTEP อยู่ที่ 178 บาทต่อหุ้น และ PTT อยู่ที่ 46 บาทต่อหุ้น
สำหรับค่าการกลั่นนั้น ภาพรวมในปี 2566 กำหนดสมมติฐานกลับสู่ใกล้เคียง ระดับปกติ 6-10 เหรียญฯ/บาร์เรล โดยการปรับตัวทยอยเข้าสู่ Demand และ Supply ที่แท้จริง หลังจากเกิดภาวะผิดปกติในปี 2565 ที่ผ่านมา ดังนั้น ฝ่ายวิจัยยังคงมุมมองโรงกลั่นให้เล่นตามการปรับตัวของค่าการกลั่น และช่วงฤดูกาล เช่นเดิม
ซึ่งปกติค่าการกลั่นจะทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 4 ยาวต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 1 ที่เป็นช่วงฤดูหนาว ก่อนที่จะค่อย ๆ ปรับตัวลงในไตร มาส 2 เล็กน้อย และจะต่ำสุดในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นช่วง low season ภายใต้ไม่มี พายุเฮอร์ริเคน ที่รุนแรง
ขณะที่ค่าความต่างของราคาซื้อกับราคาขาย (spread) ปิโตรเคมี คาดในปี 2566 น่าจะเข้าสู่ภาวะสมดุลระหว่าง demand และ supply มากขึ้น spread ผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มน่าจะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในปี 2565 ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 65 ถือเป็นช่วงที่ spread สูงมากจากการกลับมาเติมสต็อก (restocking) และค่อยปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังปี 65 อีกทั้งคาดในปี 2566 spread ปิโตรเคมีจะถูกดดันจากด้าน supply ใหม่ ที่จะทยอยเข้าสู่ตลาด โดยฝ่ายวิจัยให้ น้ำหนักกลุ่มปิโตรเคมี เท่าตลาด