TIDLOR หุ้นพุ่ง 4.85% โบรกฯคาดครึ่งปีสินเชื่อหลังโตต่อ คงเป้ากำไรปีนี้ 4 พันล้านบาท
วันนี้ (21 ส.ค.66) หุ้น TIDLOR ของบริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) ปิดตลาดราคาปรับเพิ่มขึ้น 4.85% อยู่ที่ระดับ 21.60 บาทต่อหุ้น สูงสุดในรอบ 4 วันที่ผ่านมา มูลค่าซื้อขายตลอดวันสูงสุดเป็นอันดับ 5 ของตลาด อยู่ที่ 1,290 ล้านบาท
TIDLOR หั่นเป้าคุม NPL ไม่เกิน 1.8% เหตุปล่อยสินเชื่อเข้มงวดมากขึ้น
TIDLOR ไม่กังวล แบงก์ชาติ จ่อคุมธุรกิจเช่าซื้อรถ-จยย.
โดยผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 66 TIDLOR มีรายได้รวม 4,529.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 927.2 ล้านบาท ลดลง 5.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) เพิ่มขึ้น 135.8% อยู่ที่ 669.8 ล้านบาท
ส่วนอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL) อยู่ที่ 1.54% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 1.5%
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ระบุว่า TIDLOR ได้จัดประชุมนักวิเคราะห์ปี 66 ยังคงเป้าหมายทางการเงิน โดยสินเชื่อเติบโต 10-20% จากปีก่อนหน้า และแนวโน้มอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม พยายามคุมไม่เกิน 1.8% ภายใต้ต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (credit cost) ทั้งปี 3.00-3.35%
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยประมาณการณ์กำไรสุทธิทั้งปี 66 อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6% จากปีก่อน ซึ่งในครึ่งแรกของปี 66 TIDLOR มีกำไรรวม 1,882.35 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 47% ของประมาณการณ์ทั้งปี และในครึ่งหลังของปีคาดว่าจะมีแรงส่งจากแนวโน้มสินเชื่อที่เติบโต
อย่างไรก็ตาม TIDLOR เริ่มควบคุมการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ สะท้อนจากสินเชื่อเช่าซื้อ หดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส ประกอบกับภายหลังรัฐบาลจัดตั้งแล้วเสร็จฝ่ายวิจัยเชื่อว่าความต้องการใช้รถยนต์เชิงพาณิชย์ในภาคก่อสร้างทยอยดีขึ้นประเมินลดแรงกดดันจาก NPLFormation ส่วนนี้ในช่วงถัดไป
ขณะที่ สมมติฐานต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อปี 66 ของฝ่ายวิจัยอยู่ที่ 3.35% อยู่ในระดับกรอบบนของเป้าหมาย บริษัทฯ คาดเพียงพอรองรับวัฎจักรขาขึ้นของหนี้เสียในช่วงที่เหลือของปี
สำหรับราคาหุ้น TIDLOR ตั้งแต่ต้นปีปรับฐาน 21% มากสุดในกลุ่มจำนำทะเบียน สะท้อนวัฎจักรขาขึ้นของหนี้เสียพอสมควร ทำให้ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน Forward PER ปี 66 ที่ 14 เท่า
ประเด็นความเสี่ยงและวิเคราะห์ความอ่อนไหว
1. สินเชื่อเติบโตต่ำกว่าสมมติฐาน จากภาวะเศรษฐกิจ โดยทุก 1% ของสินเชื่อที่ลดลงจากสมมติฐาน จะส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ลดลง0.5% และกำไรสุทธิลดลง 0.4% ส่วน FV คงเดิม
2. ส่วนต่างของสินเชื่อ (Loan Spread) ต่ำกว่าสมมติฐาน โดยทุก 1% ของ Loan spread ที่ลดลงจากสมมติฐาน จะส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ลดลด 6.5% และกำไรสุทธิลดลง 8% ส่งผลให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) เฉลี่ยลดลง 0.3% ทำให้ FV กรณีอิง P/BV เท่าเดิม จะลดลงราว 1 บาท
3. คุณภาพสินทรัพย์แย่กว่าคาด ส่งผลให้ Credit cost สูงกว่าสมมติฐาน โดยทุก 20bps ของ Credit Cost ที่เพิ่มขึ้นจากสมมติฐาน จะส่งผลให้การตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ปรัลเพิ่มขึ้น 6% และกำไรสุทธิลดลง 4% ส่งผลให้ ROE เฉลี่ยลดลง 0.2% ทำให้ FV กรณีอิง PBV เท่าเดิม จะลดลงประมาณ 1 บาท
4. ความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ (Regulatory risk) อาจเป็นเหตุให้ 3 สมมติฐานข้างต้นเปลี่ยนแปลง
5. ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 อย่าง SIAM ASIA CREDIT ACCESS PTE. LTD. หรือ SACA (ณ 20 เม.ย. 66 ถือหุ้นสัดส่วน 20.1%)ซึ่งถือหุ้นโดย Private equity อย่าง CVC มีอายุจำกัด (สิ้นสุดในระหว่างปี 2567 – 69 แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่กำหนดไว้) ตามที่บริษัทฯ ได้เปิดเผยในหนังสือชี้ชวนตั้งแต่ IPO อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยมองว่าปกติแล้ว Private equity สามารถจดทะเบียนใหม่เพื่อขยายระยะเวลาได้