พาณิชย์คาดตั้งบริษัทใหม่ปี 67 โต 5-15% ธุรกิจสัตว์เลี้ยงมาแรง

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ มิ.ย. 67 มีจำนวน 7,351 ราย ลดลง 3.61% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มูลค่าทุนจดทะเบียน 27,979.07 ล้านบาท ธุรกิจจัดตั้งสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป  อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร-ร้านอาหาร ส่วนธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการมี 1,416 ราย ลดลง 14.65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าทุนจดทะเบียน 4,903.58 ล้านบาท

ครึ่งปีแรก (ม.ค. - มิ.ย.67) มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจรวม 46,383 ราย ทุนจดทะเบียน 145,078.60 ล้านบาท ประเภทธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้างอาคารทั่วไป และธุรกิจภัตตาคาร-ร้านอาหาร เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจดทะเบียนลดลง 1.91% ทุนจดทะเบียนลดลง 66.15% ส่วนธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการมี 6,039 ราย ทุนจดทะเบียน 76,748.35 ล้านบาท ซึ่งยังเป็น 3 ธุรกิจที่กล่าวมาข้างต้น

ขณะที่ชาวต่างชาติลงทุนในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ช่วงครึ่งปีแรกอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในไทย 385 ราย เงินลงทุนรวม 81,487 ล้านบาท เกิดการจ้างงานคนไทย 1,852 คน โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ญี่ปุ่น สิงคโปร์  สหรัฐอเมริกา จีน และฮ่องกง

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมองว่าฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการสนับสนุนจากการบริโภคภายในประเทศ การท่องเที่ยว และการส่งออก แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากหนี้ครัวเรือนที่สูงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก.....นางอรมนกล่าว

ช่วงครึ่งปีแรกยอดการตั้งธุรกิจใหม่มีจำนวน 46,383 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 145,079 ล้านบาท เป็นไปตามที่กรมฯ ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 44,000 - 47,000 ราย โดยภาคบริการ มีการจัดตั้งมากที่สุด 26,479 ราย คิดเป็น 57.09% ภาคขายส่ง-ขายปลีก จัดตั้ง 15,152 ราย คิดเป็น 32.67% และภาคการผลิต จัดตั้ง 4,752 ราย คิดเป็น 10.25%

ธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจ

ภาคขายส่ง-ขายปลีก ได้แก่ ธุรกิจขายปลีกชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมใหม่ของจักรยานยนต์มีอัตราการเติบโตสูงสุด 90.91%, ธุรกิจขายส่งชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมใหม่ของจักรยานยนต์เติบโต 75% และขายปลีกนาฬิกา แว่นตา และอุปกรณ์ถ่ายภาพเติบโต 73.08%  

ภาคการผลิต ได้แก่ ธุรกิจผลิตโครงสร้างที่ใช้ในการก่อสร้างและเครื่องประกอบอาคาร เติบโตสูงสุด 106.67% ธุรกิจผลิตกระดาษลอนลูกฟูกและกระดาษแข็งลอนลูกฟูกเติบโต 104% และธุรกิจผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เติบโต 96.77%

ภาคบริการ ได้แก่ ธุรกิจวิจัยและพัฒนาเชิงทดลองด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีฯ เติบโตสูงสุด 132.35% ธุรกิจขนส่งผู้โดยสารทางรถโดยสารประจำทางอื่น ๆ เติบโต 95.24% และธุรกิจก่อสร้างโครงการวิศวกรรมโยธาอื่นๆ เติบโต 85.71%

สำหรับภาพรวมธุรกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงกันที่ 2.7% โดย SCB EIC มีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้น เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศเติบโตดี อีกทั้งเศรษฐกิจจีนปรับตัวดีขึ้นจากภาคการผลิตและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังมีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลแต่ละประเทศจะปรับสูงขึ้นจากผลการเลือกตั้งเกือบทั่วโลกในปีนี้ โดยเฉพาะผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ.....นางอรมนกล่าว

แนวโน้มการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ปี 67 ยังคาดเติบโตที่ 5 - 15% ประมาณ 90,000 - 98,000 ราย จากปัจจัยสนับสนุน เช่น นโยบายของภาครัฐ การเดินหน้านโยบายเงินดิจิทัลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ  และมาตรการดึงดูดการลงทุนจากชาวต่างชาติ แต่ยังคงมีปัจจัยท้าทาย เช่น ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ เนื่องจากมีผลกระทบต่อกำลังซื้อผู้บริโภคในประเทศ อัตราเงินเฟ้อ และปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

ธุรกิจดาวเด่นที่น่าจับตามอง คือธุรกิจสัตว์เลี้ยงและที่เกี่ยวเนื่อง เติบโตแบบก้าวกระโดด ปัจจุบันยังเกิดเทรนด์ใหม่ คือ การนิยมเลี้ยงสัตว์แปลก หรือ Exotic Pet เช่น งู กิ้งก่า และเต่า โดยยอดขายผลิตภัณฑ์ของสัตว์เลี้ยง Exotic Pet เติบโตสูงกว่า 50% ขณะที่ยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับแมวเติบโต 8% และยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับสุนัขเติบโต 6%

จากการวิเคราะห์คนแต่ละ Gen ในการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงพบว่า Gen Z นิยมเลี้ยงสุนัขมากที่สุด Gen Y ต้องการเสริมพลังบวกจากแมว Gen X นิยมเลี้ยงนกและปลา ขณะที่ Baby Boomer นิยมเลี้ยงสัตว์น้อยที่สุด โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 ธุรกิจสัตว์เลี้ยงและที่เกี่ยวเนื่องมีจำนวนทั้งสิ้น 5,009 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 98,797.54 ล้านบาท

"ยางู หมายเลข 7" สมุนไพรไทยที่ชาวเวียดนามนิยม

รวมชุดทีมชาติเข้าร่วมทำศึกโอลิมปิก ปารีสเกมส์ 2024

แจ๊ส ชวนชื่น บุกรวบ สารวัตรแจ๊ะ ถึงสืบนครบาล ตั้งข้อหาหนักจนเป็นไวรัล