ลงทุนไทยพุ่งสูงสุดรอบ 10 ปี ท่ามกลางกระแสย้ายฐานผลิตโลก
บีโอไอ เผยลงทุน 9 เดือน พุ่งต่อเนื่องทะลุ 7.2 แสนล้านบาท สูงสุดรอบ 10 ปี ผุดฐานอุตสาหกรรมใหม่
บีโอไอ เผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุน 9 เดือน ปี 2567 เติบโตต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวน 2,195 โครงการ เงินลงทุนกว่า 7.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% นำโดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ทั้งเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน ยอดส่งเสริมลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) สิงคโปร์อันดับหนึ่ง ตามด้วยจีนและฮ่องกง
ผลของการดึงลงทุนเชิงรุกท่ามกลางกระแสย้ายฐานผลิตโลก หนุนตัวเลขลงทุนปี 2567 พุ่งสูงสุดรอบ 10 ปี
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย. 67) ตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวน 2,195 โครงการ เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 722,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% ซึ่งเป็นยอดลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปี
สะท้อนศักยภาพและพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีของไทย ความเชื่อมั่นนักลงทุนที่มีต่อนโยบายรัฐบาลและมาตรการสนับสนุนของรัฐ ตลอดจนการดึงดูดการลงทุนเชิงรุกทำให้เกิดการลงทุนโครงการใหญ่ในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ จำนวนมาก นอกจากนี้รัฐบาลยังเร่งพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะรองรับเทคโนโลยีใหม่ จัดหาพลังงานสะอาดในราคาที่เหมาะสม พื้นที่รองรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ และปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน เพื่อรองรับกระแสเคลื่อนย้ายฐานการผลิตโลก.....นายนฤตม์ กล่าว
“ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” แจงแล้ว ไม่ใช่นักร้องเรียนตบทรัพย์ดิไอคอน!
เช็กวันโอนเงินดิจิทัล 10,000 บาท รอบการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) เร็วขึ้น
อัปเดตเส้นทางพายุดีเปรสชันลูกใหม่ในมหาสมุทรแปซิฟิก!
กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก
- อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่า 183,444 ล้านบาท
- ดิจิทัล มูลค่า 94,197 ล้านบาท
- ยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 67,849 ล้านบาท
- เกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 52,990 ล้านบาท
- ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มูลค่า 34,341 ล้านบาท
กิจการที่มีการลงทุนสูงและอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
- กิจการ Data Center จำนวน 8 โครงการ เงินลงทุนรวม 92,764 ล้านบาท โดยมีการลงทุนจากบริษัทรายใหญ่สัญชาติอเมริกัน ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง และอินเดีย
- กิจการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ได้แก่ การผลิต Wafer, การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์, การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์และวงจรรวม จำนวน 15 โครงการ เงินลงทุนรวม 19,856 ล้านบาท
- กิจการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และวัตถุดิบสำหรับ PCB จำนวน 55 โครงการ เงินลงทุนรวม 61,302 ล้านบาท
- กิจการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ จำนวน 13 โครงการ เงินลงทุนรวม 38,973 ล้านบาท
- กิจการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ ระบบอัตโนมัติ และเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง จำนวน 117 โครงการ เงินลงทุนรวม 30,515 ล้านบาท
- กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จำนวน 351 โครงการ เงินลงทุนรวม 85,369 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 1,449 โครงการ เพิ่มขึ้น 66% เงินลงทุนรวม 546,617 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ 180,838 ล้านบาท จีน 114,067 ล้านบาท ฮ่องกง 68,203 ล้านบาท ไต้หวัน 44,586 ล้านบาท และญี่ปุ่น 35,469 ล้านบาท
มูลค่าการลงทุนของสิงคโปร์ที่สูงขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนที่บริษัทแม่สัญชาติจีนและสหรัฐอเมริกาในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และ Data Center นำบริษัทลูกที่จดจัดตั้งในสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในประเทศไทย.....นายนฤตม์ กล่าว
ในแง่พื้นที่เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก 408,737 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 220,708 ล้านบาท ภาคเหนือ 35,452 ล้านบาท ภาคใต้ 25,039 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 23,777 ล้านบาท และภาคตะวันตก 8,812 ล้านบาท ตามลำดับ
นอกจากนี้การขอรับส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายเดิมให้ปรับตัว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 287 โครงการ เงินลงทุนรวม 27,318 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานทดแทน รองลงมาคือ ด้านการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในสายการผลิต
สำหรับการออกบัตรส่งเสริม ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวน 2,072 โครงการ เพิ่มขึ้น 59% เงินลงทุน 672,165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101% ซึ่งการออกบัตรส่งเสริมเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด โดยปกติบริษัทต่าง ๆ จะเริ่มทยอยลงทุนภายใน 1-3 ปี หลังจากออกบัตรส่งเสริม
ทิศทางการลงทุนในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้ายังมีแนวโน้มเติบโต ตอนนี้เป็นจังหวะสำคัญที่จะสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ต่อยอดฐานอุตสาหกรรมเดิมให้มั่นคง โดยโครงการที่ได้รับอนุมัติจากบีโอไอในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้จะมีการจ้างงานบุคลากรไทยเพิ่มกว่า 1.7 แสนคน ใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศ 8 แสนล้านบาทต่อปี และเพิ่มมูลค่าส่งออกของประเทศอีกกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี.....นายนฤตม์ กล่าว