เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่า หุ้นไทยปรับตัวลงหลังเลือกตั้งสหรัฐฯ
เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่า ขณะที่หุ้นไทยปรับตัวลงหลังรับรู้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
แนวโน้มค่าเงินบาท สัปดาห์หน้า (วันที่11-15 พ.ย.) ธนาคารกสิกรไทย มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 33.60-34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามได้แก่ทิศทางเงินทุนต่างชาติและสกุลเงินเอเชียอื่นๆ โดยเฉพาะค่าเงินหยวนรวมถึงถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิตยอดค้าปลีกตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ต.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามข้อมูลเศรษฐกิจเดือน ต.ค. ของจีนและตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2567 ของอังกฤษด้วย เช่นกัน
ขณะที่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่ารับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาบางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ หลังเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ เพื่อปรับโพสิชั่น ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกอ่อนค่าลงทะลุระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ไปแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือนที่ 34.46 บาทต่อดอลลาร์ฯท่ามกลางแรงขายสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย รวมถึงเงินเยนและเงินหยวนของจีน
ขณะที่เงินดอลลาร์ฯปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องสอดคล้องกับบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ รับผลการเลือกตั้ง ซึ่งสะท้อนว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะ และเตรียมที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทยังสอดคล้องกับทิศทางฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติและการปรับตัวลงมาของราคาทองคำในตลาดโลกด้วยเช่นกัน
เงินบาทฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนในช่วงปลายสัปดาห์หลังจากที่เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงตามแรงขายทำกำไร (จากที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้านี้ รับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ) ประกอบกับ น่าจะมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐหลังจากที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่กรอบ 4.50-4.75% ในการประชุมรอบล่าสุด 6-7 พ.ย. ที่ผ่านมา
ในวันศุกร์ที่ 8 พ.ย. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 34.02 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 33.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า(1 พ.ย. 67)
สถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 4-8 พ.ย.2567 นั้นนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 3,641 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง NetOutflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย24,489 ล้านบาท (แบ่งเป็นขายสุทธิพันธบัตร 23,687 ล้านบาทและตราสารหนี้หมดอายุ 802 ล้านบาท)
ธนาคารกสิกรไทย
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย

แนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า
สัปดาห์ถัดไป (11-15พ.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,445 และ 1,435 จุดขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,475 และ1,485 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามได้แก่ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ผลประกอบการไตรมาส 3/2567 ของ บจ.ไทย
และทิศทางเงินทุนต่างชาติส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ต.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2567 ของยูโรโซน อังกฤษและญี่ปุ่น รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจเดือน ต.ค. ของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและผลผลิตภาคอุตสาหกรรม
ขณะที่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ และทยอยปรับตัวลงหลังรับรู้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบช่วงแรกก่อนจะดีดตัวขึ้นแรงตามตลาดหุ้นภูมิภาคในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานยังได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้น หลังโอเปกเลื่อนแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันออกไปอีกหนึ่งเดือน
ขณะที่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวขึ้นตามแรงหนุนจากประเด็นเฉพาะตัวด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงท่ามกลางแรงขายของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งกระตุ้นความกังวลเกี่ยวกับประเด็นสงครามการค้า หุ้นไทยย่อตัวลงต่อในช่วงท้ายสัปดาห์ โดยเผชิญแรงขายทำกำไรหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่ง หลังปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงก่อนหน้านี้
ในวันศุกร์ที่ 8 พ.ย.2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,464.69 จุด เพิ่มขึ้น 0.04% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 45,966.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.71% จากสัปดาห์ก่อนส่วนดัชนี mai ลดลง 0.74% มาปิดที่ระดับ 335.71 จุด