จับตาค่าเงิน-หุ้น สัปดาห์หน้า ลุ้นตัวเลขจีดีพีไทย ไตรมาส 3/2567
ศูนย์วิจัยกสิกร วิเคราะห์แนวโน้มค่าเงิน-หุ้น สัปดาห์หน้า ลุ้นตัวเลขจีดีพีไทย ไตรมาส 3/2567
ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 34.50-35.25บาทต่อดอลลาร์ฯ สัปดาห์ระหว่างวันที่ 18-22 พ.ย.2567 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามได้แก่ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2567 ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติสกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก
รวมถึงถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านยอดขายบ้านมือสองเดือน ต.ค. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย

และข้อมูลเบื้องต้นของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และดัชนี PMI เดือนพ.ย. นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามการประกาศอัตราดอกเบี้ย LPR ของธนาคารกลางจีน การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอินโดนีเซีย รวมถึงตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือน ต.ค.และ ดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือน พ.ย.ของยูโรโซนและอังกฤษ
ขณะที่ในวันศุกร์ที่ 15พ.ย. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 34.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 34.02 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (8พ.ย. 67) โดยเงินบาทยังคงอ่อนค่า ทำสถิติอ่อนค่าสุดในรอบ 3 เดือนที่ 35.16 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในระหว่างสัปดาห์ เงินบาททยอยอ่อนค่าลงตามภาพรวมของสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชียและการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก
ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังคงแข็งค่าขึ้นท่ามกลางการประเมินของตลาดว่านโยบายและมาตรการต่างๆ ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ อาจส่งผลทำให้มีแรงกดดันต่อเนื่องไปที่เงินเฟ้อซึ่งอาจทำให้เฟดชะลอจังหวะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯยังมีแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ (CPI PPI และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์) ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดและถ้อยแถลงของประธานเฟด ที่ระบุถึง เงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมาย 2.00% ของเฟด ซึ่งสะท้อนว่าเฟดไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
อย่างไรก็ดี เงินบาทฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนตามแรงขายเงินดอลลาร์ฯ เพื่อปรับโพสิชั่นหลังจากที่เงินบาทอ่อนค่าลงมากในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 11-15 พ.ย. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 4,278 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง NetOutflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 9,380 ล้านบาท (แบ่งเป็นขายสุทธิพันธบัตร 8,580 ล้านบาทและตราสารหนี้หมดอายุ 800 ล้านบาท)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย

แนวโน้มหุ้นไทย
ในส่วนของสัปดาห์ถัดไป (18-22พ.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,430 และ1,415 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,460 และ 1,470 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามได้แก่ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2567 ของไทย (18 พ.ย.) ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และทิศทางเงินทุนต่างชาติส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ยอดขายบ้านมือสองเดือน ต.ค. ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการ (เบื้องต้น) เดือน พ.ย.
รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน ต.ค. ของยูโรโซนและญี่ปุ่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR เดือน พ.ย. ของจีน ตลอดจนดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการ (เบื้องต้น) เดือน พ.ย. ของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ
ส่วนสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงท่ามกลางปัจจัยลบจากทั้งในและต่างประเทศ ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงเกือบตลอดสัปดาห์ท่ามกลางหลายปัจจัยลบ อาทิ ความกังวลต่อผลกระทบจากนโยบายต่างๆ ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ (หลังได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ) ประเด็นการเมืองในประเทศ แรงขายทำกำไรช่วงโค้งสุดท้ายของการประกาศงบไตรมาส 3/2567 รวมถึงถ้อยแถลงของประธานเฟดซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดไม่จำเป็นต้องรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยยังสอดคล้องกับภาพรวมของตลาดหุ้นภูมิภาคด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยขยับขึ้นได้ช่วงสั้นๆ ระหว่างสัปดาห์ โดยมีแรงหนุนจากผลประกอบการหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการใช้จ่ายในประเทศที่ออกมาค่อนข้างดี
ในวันศุกร์ที่15 พ.ย.2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,442.63 จุด ลดลง1.51% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 47,329.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.97% จากสัปดาห์ก่อนส่วนดัชนี mai ลดลง 4.20% มาปิดที่ระดับ 321.61 จุด
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย