นโยบายขึ้นภาษีทรัมป์ กระทบ 1 ใน 4 มูลค่าส่งออกไทยไปสหรัฐ
ttb analytics ชี้นโยบายขึ้นภาษีสหรัฐฯ กระทบขั้นต่ำ 1 ใน 4 มูลค่าส่งออกไปสหรัฐจากการกีดกันการค้ากับจีน แนะไทยเร่งหนุน FDI เจาะตลาดอื่นชดเชย
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics มองว่าหากมีการขึ้นภาษีนำเข้าตามนโยบายที่โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศ ไทยมีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค จากทั้งผลกระทบโดยตรงเนื่องจากไทยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปสหรัฐอเมริกาสูงกว่าประเทศในภูมิภาค
และผลกระทบทางอ้อมหากจีนเปลี่ยนปลายทางสินค้าราคาถูกมาไทยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้แนวโน้มที่จะได้รับผลประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตมีค่อนข้างจำกัด จากภาพเศรษฐกิจไทยที่เปราะบางในปัจจุบัน ตลอดจนสิทธิประโยชน์ทางภาษีน้อยกว่าหลายประเทศในภูมิภาค

จากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะเป็นประธานาธิบดีลำดับที่ 47 กลับมารับตำแหน่งสมัยที่ 2 หนึ่งในประเด็นที่ทุกฝ่ายสนใจคือความไม่แน่นอนของทิศทางการค้าโลกในระยะเวลาข้างหน้า เนื่องจากหนึ่งในนโยบายสำคัญของทรัมป์ คือการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากทั่วโลกราวร้อยละ 20 เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยช่วงก่อนโควิด-19 ที่อยู่ประมาณร้อยละ 3 ขณะที่จีนคาดว่าจะมีการปรับภาษีเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 จากเฉลี่ยร้อยละ 21 ก่อนช่วงโควิด-19 ซึ่งมีแนวโน้มลุกลามกลายเป็นสงครามการค้าระลอกใหม่
“ปูติน” เตือนสงครามรัสเซีย-ยูเครนกำลังลุกลามไปทั่วโลก
จ่อเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอบใหม่สิ้น มี.ค.68 คาดมีถึง 25 ล้านคน
ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รับคำร้อง "ทักษิณ" ล้มล้าง ครอบงำ "เพื่อไทย"

หากย้อนกลับไปพิจารณาผลกระทบจากสงครามการค้ารอบแรกระหว่างปี 2560-2561 ไทยและประเทศในกลุ่มอาเซียนถือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ ทั้งจากการที่สหรัฐฯ เปลี่ยนมานำเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้น เพื่อทดแทนการนำเข้าจากจีน ตลอดจนการที่บริษัทในจีนย้ายฐานการผลิตเข้ามาลงทุนในกลุ่มประเทศแถบอาเซียน
คาดว่าภาพดังกล่าวจะแตกต่างไปจากเดิม โดยเฉพาะจากการที่ทั่วโลกได้รับผลกระทบจากภาษีโดยตรงในรอบนี้ ประกอบกับที่ปัจจุบันสหรัฐฯ ขาดดุลทางการค้ากับอาเซียน ไทยเองก็อยู่ในกลุ่มประเทศที่ขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุด ทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะถูกสหรัฐฯ เพ่งเล็ง

การส่งออกของไทยไปตลาดสหรัฐฯ
มีสัดส่วนสูงกว่าเมื่อเทียบกับภูมิภาค และกลุ่มสินค้าที่ขาดดุลกับสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับจีน หากเทียบมูลค่าการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ช่วงที่ผ่านมาไทยส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สูงกว่าประเทศในกลุ่มภูมิภาค ปัจจุบันมูลค่าส่งออก 47.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 17.1 (ปี 2566) ของการส่งออกไทยทั้งหมด ถือเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่มีสัดส่วนส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ อยู่ประมาณร้อยละ 10 ซึ่งน้อยกว่าไทยยกเว้นเวียดนามที่มีสัดส่วนส่งออกอยู่ที่ร้อยละ 29.5
หากมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ไทยมีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากกว่าภูมิภาคโดยรวมในกลุ่มสินค้าที่ส่งออก เมื่อมองจากจุดยืนของทรัมป์ที่มีต่อจีน คาดว่าสินค้าหมวดอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในการสื่อสารและใช้งานทั่วไปมีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงที่สุด เนื่องจากเกี่ยวข้องกับจีนสูง หลังไทยพึ่งพาการนำเข้าสินค้าหรือวัตถุดิบจากจีนมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ และขาดดุลกับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงอาจถูกมองว่าเป็นฐานการผลิตของจีน
แนวโน้มสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ
สินค้ากลุ่ม Hard Disk Drive
ได้รับผลกระทบจำกัด เนื่องจากไทยเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก และบริษัทที่ผลิตส่วนใหญ่เป็นสัญชาติสหรัฐฯ
สินค้าที่ทางทรัมป์สนับสนุนให้เกิดการผลิตภายในประเทศ
ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ หลังเริ่มส่งสัญญาณจะขึ้นภาษีการนำเข้ารถยนต์จากประเทศเม็กซิโก ซึ่งไทยเองส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ไปสหรัฐฯ สูง ขณะที่การส่งออกยานยนต์แม้ไทยมีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ไม่มาก แต่อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการส่งออกยานยนต์ไปเม็กซิโกสูง
สินค้าส่งออกกลุ่มอื่น ๆ
ได้แก่ อาหารสัตว์, ปลากระป๋อง, ถุงมือยาง ตลอดจนสินค้าเกษตร เช่น ข้าว มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจำกัด เนื่องจากมีสัดส่วนเกี่ยวข้องกับจีนไม่มาก แม้สหรัฐฯ มีสัดส่วนนำเข้าจากไทยสูงเช่นเดียวกับยางรถยนต์ และไทยส่งออกยางรถยนต์แบรนด์จีน แต่ใช้วัตถุดิบและมีการผลิตอยู่ที่ไทย
ทั้งนี้อาจต้องติดตามมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีที่อาจนำมาใช้ในการกีดกัดทางการค้า อาทิ ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (สิทธิ GSP) เป็นต้น
โดยสรุปหากสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้า จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและหลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะภาคการส่งออกไทย ซึ่งจะซ้ำเติมการผลิตภายในประเทศที่อ่อนแอเป็นทุนเดิม ดังนั้นจึงเป็นโจทย์ของภาครัฐที่ต้องหารือและเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ เพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว โดยให้ความสำคัญกับข้อตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา ตลอดจนนโยบายสนับสนุนต่าง ๆ ให้กับภาคเอกชน เพื่อรับมือกับความท้าทายที่กำลังมาถึง
ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการเอกชนต้องเร่งปรับกลยุทธ์ธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับตลาดโลก และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมาสู่ไทย เพราะทุกประเทศมีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางภาษีใกล้เคียงกัน ตลอดจนขยายตลาดไปประเทศอื่น ๆ มากขึ้น เพื่อจะช่วยลดผลกระทบจากสงครามการค้าในระยะยาว