SCGP กำไรสุทธิปี 67 อยู่ที่ 3,699 ล้านบาทเคาะจ่ายปันผล 0.55 บาท/หุ้น
SCGP รายได้โต 3% ขณะที่กำไรสุทธิปี 67 อยู่ที่ 3,699 ล้านบาท เคาะจ่ายปันผล 0.55 บาท/หุ้น
บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP แถลงผลการดำเนินงานปี 2567 ทำรายได้ 132,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน EBITDA 16,127 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสำหรับปี 3,699 ล้านบาท ลดลง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2567 มีรายได้จากการขาย 31,231 ล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA 2,845 ล้านบาท ลดลง 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

และขาดทุนสำหรับงวด 57 ล้านบาท ลดลง 105% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาของวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลที่สูงขึ้น และราคาขายของสินค้าที่อ่อนตัวลง รวมถึงการรวมผลการดำเนินงานจากอินโดนีเซีย และผลประกอบการของธุรกิจรีไซเคิลที่ลดลง
คณะกรรมการบริษัทมีมติ ให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตรา 0.55 บาท โดยบริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลงวดระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2567 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2568 ตามรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2568 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาได้รับมือสถานการณ์ที่ท้าทาย เช่น ในกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์อาหารเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเพิ่มปริมาณการขายตลาดภายในประเทศไทย-อินโดนีเซีย-เวียดนาม-ฟิลิปปินส์
ขณะที่ ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในปี 2567 ความต้องการของตลาดในอาเซียน ปรับตัวดีขึ้นจากการบริโภคภายในประเทศ และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลัง มีปัจจัยค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่น ๆ ในอาเซียน และเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ ส่งผลต่อปริมาณการส่งออกและราคาของกระดาษบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาค ที่ปรับตัวลดลง ส่วนในไตรมาส 4 ปี 2567 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ตลาดภายในประเทศในอาเซียน มีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ จากประเทศจีนเริ่มฟื้นตัว และมีแนวโน้มนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม จากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น หลังจากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
สำหรับปี 2568 มองว่า ตลาดบรรจุภัณฑ์ฟื้นตัว บริษัทฯ ตั้งเป้า EBITDA 18,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้า 4 กลยุทธ์
1.รุกตลาดในอาเซียน และสินค้าปลายน้ำต่อเนื่อง
2.เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วย Data Analytic และ Artificial Intelligence (AI) เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และลดต้นทุน 600 ล้านบาท
3.พัฒนานวัตกรรม โซลูชัน และผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำตอบโจทย์ลูกค้า
4.เดินหน้า ESG เพิ่มการใช้พลังงานทางเลือกเป็น 39%
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น SCGP วันที่ 28 ม.ค.2568 อยู่ที่ 16.30 บาทต่อหุ้น