มาสด้าญี่ปุ่น ขยายการลงทุนในไทยเพิ่มอีกกว่า 5,000 ล้านบาท

นายมาซาฮิโระ โมโระ (Mr. MORO Masahiro) ประธานและผู้บริหารสูงสุดบริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น เข้าพบนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนประเทศไทย โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันถึงการส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย ซึ่งให้ความสำคัญของการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ให้สอดคล้องกับบริบทของตลาดผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ และบริษัทมาสด้าฯ มีแนวทางที่จะสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 

โดยจะขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติม มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ทั้งที่โรงงาน AAT และ MPMT  เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักของรถยนต์อเนกประสงค์รุ่น B-SUV แบบ Mild Hybrid (MHEV)  และจะทำการเปิดตัวรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบ ถึง 5 รุ่น ระหว่างปี พ.ศ. 2568 - 2570 รวมถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BEV 2 รุ่น รถ PHEV 1 รุ่น และรถ HEV 2 รุ่น  โดยจะเป็นห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดจากโรงงานบริษัทมาสด้าฯ ในไทย ครอบคลุมทั้งกระบวนการผลิต เพื่อรองรับรถยนต์ประเภทอื่น ๆ ในอนาคต โและจะจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังญี่ปุ่น กลุ่มอาเซียน และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

มาสด้า ดำเนินกิจการในไทยมานานกว่า 70 ปี ครั้งนี้ถือเป็นอีกส่วนสำคัญในการพัฒนาความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย โดยยืนยันว่า รัฐบาลไทยมุ่งมั่นขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตยานยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และผลักดันยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกระดับโลก 

ด้าน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อคิดเห็นและอำนวยความสะดวกผ่านมาตรการต่าง ๆ ซึ่งจะพิจารณาบนพื้นฐานความต้องการจากทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงมาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ได้เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตกลุ่มรถยนต์ Hybrid (HEV) และ Mild Hybrid (MHEV) ซึ่งจะช่วยรักษาสมดุลการแข่งขันในช่วงของการเปลี่ยนผ่านให้ครอบคลุมอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนทั้งระบบ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรี 

สำหรับ มาสด้า ปัจจุบัน มีสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มาสด้ามีผู้จำหน่ายทั้งหมด 19 โชว์รูม รองรับปริมาณงานซ่อมได้สูงสุด 450,000 คันต่อปี หรือมากกว่า 37,000 คันต่อเดือน สำหรับภาพรวมทั่วประเทศ ปัจจุบันมี  250,000 คัน ที่อยู่ในระบบ