เงินบาทพลิกแข็งตามราคาทองคำโลกที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
จับตาค่าเงินบาท และตลาดหุ้นไทย คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 33.00 - 34.00 บาท/ดอลลาร์ฯ ส่วนดัชนีหุ้นไทย แนวรับที่ 1,250 และ 1,235 จุด แนวต้านที่ 1,300 และ 1,310 จุด
ศูนย์วิจัยกสิกร ระบุว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดรอบ 3 สัปดาห์ที่ 34.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนพลิกแข็งค่ากลับมาตามราคาทองคำโลกที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้เงินบาทอ่อนค่าลงตามทิศทางของสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค
ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ มีแรงหนุนจากข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของประธานเฟดซึ่งทำให้ตลาดประเมินว่า จังหวะการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็ว

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังแข็งค่าขึ้นตามสัญญาณสะท้อนความตึงเครียดของสงครามการค้า หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า จะมีการประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศ และจะมีการประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศที่มีการค้าไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ
เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 สัปดาห์ที่ระดับ 34.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะพลิกแข็งค่ากลับมาตามราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ฝั่งเงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุนเนื่องจากตลาดประเมินว่า มาตรการตอบโต้ทางภาษีของสหรัฐฯ อาจจะยังไม่เริ่มในเร็วๆ นี้
สัปดาห์ระหว่างวันที่ 17-21 ก.พ. 2568 KBank คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 33.00-34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่
- ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 ของไทย
- สัญญาณเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของ ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์
- ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
- สถานการณ์เงินทุนต่างชาติ
- ดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนก.พ. ของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ
- บันทึกการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 28-29 ม.ค.
- การประกาศอัตราดอกเบี้ย LPR ของธนาคารกลางจีน
- ผลการประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย และธนาคารกลางอินโดนีเซีย
ทางด้านตลาดหุ้นไทย ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวนก่อนจะปิดลบช่วงท้ายสัปดาห์ ทั้งนี้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแรงช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลต่อเนื่องเกี่ยวกับประเด็นสงครามการค้า หลังมีรายงานข่าวว่าสหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศ
อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลบางส่วนต่อประเด็นการเรียกเก็บภาษีข้างต้นหลังประเมินว่าไทยน่าจะได้รับผลกระทบในกรอบจำกัด
ประกอบกับมีปัจจัยบวกจากประเด็นข่าวที่ว่ากระทรวงการคลังมีแนวคิดจะปรับปรุงเงื่อนไขกองทุน LTF เพื่อพยุงตลาดหุ้นไทย รวมถึงแรงซื้อหุ้นบิ๊กแคป โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีหุ้นไทยพลิกร่วงอีกครั้งในช่วงท้ายสัปดาห์ โดยเผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นบิ๊กแคป โดยเฉพาะหุ้นผู้ประกอบธุรกิจท่าอากาศยานจากผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ ประกอบกับบรรยากาศยังคงถูกดดันจากความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าโดยเฉพาะการที่สหรัฐฯ เตรียมเดินหน้าเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) จากทุกประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ
สัปดาห์ที่ 17-21 ก.พ. 2568 KSecurities คาดแนวรับที่ 1,250 และ 1,235 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,300 และ 1,310 จุด ตามลำดับ
โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่
- ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 ของไทย
- ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
- นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ
- ทิศทางเงินทุนต่างชาติ
- ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือน ก.พ. (เบื้องต้น) ของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ
- บันทึกการประชุมเฟด
- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR เดือนก.พ. ของจีน