ตลาดหุ้นไทยยังไม่ไว้ใจทรัมป์ ทำตลาดป่วนทั้งโลก
ตลาดหุ้นไทยยังไม่ไว้ใจทรัมป์ เหตุ ทำหุ้นเดือน มี.ค. 68 ร่วง 3.85% ปิดที่ 1,158.09 จุด ขณะที่ ปิดตลาดวานนี้ หุ้นไทยร่วงซ้ำ 8.4% หลังสหรัฐ ประกาศเริ่มนโยบาย Liberation Day
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่อง และปริมาณการซื้อขายในช่วงปลายเดือนลดลง ซึ่งเป็นผลจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สหรัฐ ประกาศมาตรการเก็บภาษีอย่างต่อเนื่อง และยังคงมีการปรับเปลี่ยนนโยบายไปมาหลายครั้ง ซึ่ง ณ ปัจจุบันอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯเรียกเก็บถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้

และสิ่งสำคัญไปกว่านั้นคือการเข้าไปเจรจาต่อรองของแต่ละประเทศก็ยังไม่ทราบโมเดลที่ชัดเจนจึงเป็นความไม่แน่นอนที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความตื่นตระหนก ทำให้ผู้ลงทุนกังวลเกี่ยวกับการส่งออกของไทย รวมถึงผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง
ส่งผลให้ ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยในเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทย หรือ SET Index ปิดที่ 1,158.09 จุด ปรับลดลง 3.8% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค
สำหรับผลกระทบที่จะเกิดต่อตลาดหุ้นไทยจะมี 2 ส่วน คือ
- การแพนิค เกิดการ Overreact ต่อการขาย หรือ ตอบสนองต่อข่าวไวเกินไป ซึ่งคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็มีมาตรการออกมาบรรเทาผลกระทบ ทั้งเรื่อง celling & floor หรือการปรับราคาเสนอ ซื้อขายต่ำสุดและสูงสุด
- การปรับ Dynamic Price Band หรือ การกำหนดกรอบราคาซื้อขายหุ้นรายหลักทรัพย์ให้แคบลง รวมถึงการห้าม short sell ชั่วคราว จนถึง 11 เม.ย. 68 ซึ่งมาตรการเหล่านี้ทำให้ตลาดหุ้นไทย ไม่ Overreact หรือตื่นตระหนกเกินไป และปรับน้อยลงใกล้เคียงเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ
ขณะที่ความเสี่ยงที่จะเข้ามากระทบต่อภาวะตลาดหุ้นไทย อย่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงที่ผ่านมา นายศรพล มองว่า เป็นเหตุการณ์ที่นานๆจะเกิดขึ้น และประเทศไทยเคยมีประสบการณ์จากภัยพิบัติในอดีต จะเห็นได้ว่าตลาดทุน กลับมาฟื้นตัวหลังจากภัยพิบัติหมดไป
ส่วนการปรับขึ้นขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เป็นผลกระทบที่เกิดกับทุกประเทศ หากเกิดความชัดเจนจากทรัมป์ หรือ มาตรการที่ไทยจะไปเจรจากับสหรัฐชัดเจนเร็วขึ้นเท่าไร ก็จะทำให้ผู้ลงทุนมั่นใจมากขึ้น
ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคยลดลงต่ำกว่านี้ในช่วงเกิดสถานการณ์โควิด 19 ซึ่งมาตรการที่ออกมาในช่วงนี้เป็นมาตรการเดียวกับที่ใช้ในช่วงโควิด-19 ซึ่งมีผลที่ดี ยังทำให้ตลาดดำเนินต่อไป โดยไม่ผันผวนเกินไปนัก แต่ยังคงต้องติดตามต่อไป เพื่อรายงานและหามาตรการรองรับเพิ่มเติม

นายศรพล ระบุว่า ส่วนที่สำคัญอยากให้นักลงทุนจับตาผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากประเทศไทยพึ่งพารายได้ด้านการส่งออกเป็นสัดส่วนที่สูง แต่ถือว่าโชคดีที่ภาคการท่องเที่ยวยังไม่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯเป็นคู่ค้าสำคัญ ไทยควรต้องเร่งเจรจาให้เร็วที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เห็นหลายประเทศเข้าไปหารือกับสหรัฐฯแล้ว ซึ่งบางประเทศก็ได้รับการลดอัตราภาษี บางประเทศยังไม่มีความแน่ชัด และบางประเทศมีมาตรการโต้ตอบออกมา
ส่วนประเทศไทยเริ่มมีท่าทีการเข้าไปเจรจา ซึ่งหลังจากที่ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิชัย ชุณหวชิร ออกมาเปิดเผยถึง แนวทางที่ไทยจะไปเจรจากับทรัมป์ เห็นว่าก็มีทั้งจุดร่วมที่เป็นวิน-วิน โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯมากขึ้น ทั้ง ข้าวโพด พลังงาน ซึ่งจะช่วยส่งผลต่อต้นทุนการผลิตได้มากขึ้น และส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานร่วมกัน หากตอบสนองเรื่องดุลการค้าสู่การร่วมมือใหม่ๆได้ ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
ขณะที่ ภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ไทยเมื่อวานนี้ (8 เม.ย.68) ดัชนีหุ้นไทย ปิดที่ 1,074.59 จุด ลดลง 4.50% ที่มีมูลค่าการซื้อขายรวม 66,714 ล้านบาทสะท้อนแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากความวิตกต่อมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ ของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลบังคับใช้ 9 เมษายน 2568 โดยนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนโยบาย Liberation Day ทำให้ ดัชนีหุ้นไทย ปรับลดลงถึง 8.4% ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ มองว่า การ ปรับลดลงของดัชนีหุ้นไทยดังกล่าว ยังสอดคล้องกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค
ส่วนการออกมาตรห้าม short sell ชั่วคราว จะมีส่วนช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยหรือไม่ ด้านนายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้ว่าจะช่วยพยุงได้มากขนาดไหน แต่ความตั้งใจของตลาดหลักทรัพย์ที่ออกมาตรการดังกล่าวออกมา เพื่อไม่ให้ราคาหุ้นนั้น ลงเร็วเกินไป ส่วนจะขยายระยะเวลาการห้าม short sell ต่อหรือไม่ คงต้องรอดูผลภายในช่วง 4 วันนี้ที่ประกาศบังคับใช้ไปก่อน ว่าเป็นอย่างไร มีส่วนช่วยจริงหรือไม่ ถึงจะมีการพิจารณาร่วมกับคณะกรรมการอีกครั้ง
สำหรับมาตรการอื่นๆ จะมีเพิ่มเติมหรือไม่นั้น นายนายอัสสเดช ระบุว่า คณะกรรมการของ ตลท. ได้มีการพูดคุยกัน รวมถึงติดตามสถานการณ์ที่จะกระทบต่อตลาดหุ้นไทยตลอด ดังนั้น ตอนนี้เราต้องมาดูผล ของมาตรการต่างๆที่ออกไปก่อน ว่าจะส่งผลอย่างไรบ้าง และหากในอนาคตมีความเสี่ยงเข้ามา หรือมีเหตุการณ์อะไรเร่งด่วนเข้ามาอีก ทาง ตลท. ก็จะรีบออกมาตรการที่เหมาะสมทันที
นายนายอัสสเดช กล่าวด้วยว่า หากไทย เร่งเจรจากับสหรัฐสำเร็จ โดยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น หรือ Pain Point ได้อย่างตรงจุด ตามความต้องการของสหรัฐ ก็เชื่อว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาดีขึ้นได้อย่างแน่นอน