ทีเอ็มบีธนชาต เปิดโค้งแรกกำไรสุทธิ ลดลง 5.2% อยู่ที่ 5,096 ล้านบาท
ทีเอ็มบีธนชาต รายงานกำไรสุทธิ 5,096 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2568 ลดลง 5.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มองเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง กนง.ลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 5,096 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 5.2% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน ซึ่งเทียบเป็น อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ ROE อยู่ที่ 8.6% ค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาส 4/2567 ที่ 8.4% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับ 9.4% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน
ในด้านรายได้ ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ 16,553 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2568 ชะลอลง 3.3% จากไตรมาส 4 ปี 2567 (QoQ)

เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงตามการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและสินเชื่อที่ชะลอตัว และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ยังคงมีความท้าทาย โดยส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) ในไตรมาส 1/2568 ยังคงระดับได้ที่ 3.19% เทียบกับกรอบเป้าหมายที่ 3.10-3.25%
ทั้งนี้ การบริหารต้นทุนทางการเงินและการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดผลกระทบของการลดลงของส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยจากดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดลงเร็วกว่าที่คาด
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,097 ล้านบาท ลดลง 7.0% QoQ สะท้อนผลจากการบริหารจัดการด้านต้นทุนรวมถึงการลดลงจาก high season ในไตรมาส 4 ส่งผลให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 43.1% จาก 44.3% ในไตรมาสที่แล้ว
ส่วนค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 4,580 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2568 ลดลง 2.4% QoQ เป็นผลจากภาพรวมด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังคงบริหารจัดการได้ดีและอัตราการผิดนัดชำระหนี้ของลูกค้าที่ลดลง โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) อยู่ที่ 2.75% ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 2.9% ขณะที่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพทรงตัวในระดับสูงที่ 150%
หลังจากหักสำรองฯ และภาษี ธนาคารรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ 5,096 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 4,992 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2567 สะท้อนความสามารถในการรักษาแนวโน้มของผลประกอบการ รวมทั้งการดูแลคุณภาพพอร์ตสินทรัพย์
อย่างไรก็ตาม สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 1,211 พันล้านบาท ชะลอลง 2.4% จากสิ้นปี 2567 เป็นผลจากการเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบ การชำระคืนหนี้ของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ รวมทั้งการชะลอตัวของสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ยังคงซบเซา ทั้งนี้ ธนาคารยังคงเน้นการปรับโครงสร้างสินเชื่อไปยังกลุ่มสินเชื่อรายย่อยเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทน ผ่านการนำเสนอโซลูชันทางการเงินภายใต้แนวคิด Ecosystem Play ให้กับลูกค้ากลุ่มคนมีบ้าน คนมีรถ พนักงานเงินเดือน และลูกค้า Wealth ส่งผลให้สินเชื่อกลุ่มเป้าหมายยังคงมีโมเมนตัมที่ดี เช่น สินเชื่อบ้านแลกเงิน (+2% YTD) และสินเชื่อเล่มแลกเงิน (+11% YTD)
ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,298 พันล้านบาท ลดลง 2.3% จากสิ้นปี 2567 เป็นไปตามแผนบริหารสภาพคล่องและสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตสินเชื่อใหม่ ทั้งนี้ การลดลงส่วนใหญ่มาจากกลุ่มเงินฝากต้นทุนสูง เช่น เงินฝากประจำระยะยาวที่ครบกำหนด ขณะที่เงินฝากเพื่อการทำธุรกรรมกลุ่มลูกค้ารายย่อยยังคงขยายตัวได้ดี เช่น เงินฝาก ttb all free (+4% YTD) ด้านอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (LDR) อยู่ที่ 93% ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนสภาพคล่องที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งก็จะช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับธนาคารในการบริหารต้นทุนทางการเงินในระยะถัดไป
ด้านฐานะเงินกองทุน ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพ โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 อัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20.5% และ 18.2% ตามลำดับ ยังคงสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธปท.กำหนดไว้ที่ 12.0% สำหรับ CAR และ 9.5% สำหรับ Tier 1
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไตรมาส 2 ปี2568 ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า จากการบริโภคในประเทศที่มีแนวโน้มชะลอตัว หลังเข้าสู่ช่วงที่ความต้องการท่องเที่ยวลดลง (Low season) เช่นเดียวกับการลงทุนรวมที่มีแนวโน้มชะลอตัว อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกสินค้าคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า
ttb analytics ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่ำกว่า ที่ประเมินไว้ก่อนหน้า จากความไม่แน่นอนสูงจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะนโยบายการขึ้นภาษีสินค้าน าเข้าของสหรัฐฯ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวใกล้เคียงกรอบล่างของเป้าหมาย ด้านภาคการท่องเที่ยว ประเมินว่าจ านวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทั้งปี 2568 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากปีก่อน แต่ต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่ค่อนข้างช้า
สำหรับภาคการส่งออกสินค้าของไทย ประเมินว่ามูลค่าส่งออกสินค้าทั้งปี 2568 จะขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปีท่ามกลางความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จึงประเมินว่า กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายช่วงที่เหลือของปีอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง สู่ระดับ 1.50% ณ สิ้นปี ด้านค่าเงินบาทในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 33.50 – 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส