ผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ ต่อหุ้นไทย 90 วันอันตราย ลุ้นภาษีทรัมป์
นักวิเคราะห์ ประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ ต่อหุ้นไทย 3 กลุ่มหลัก ในช่วง 90 วันอันตราย ลุ้นภาษีทรัมป์
นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ระบุว่า ปัจจุบันไทยยังคงสงวนท่าทีต่อการที่สหรัฐเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่ระดับ 36% โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิชัย ชุณหวชิร เปิดเผยว่ารัฐบาลไทย ไม่มีแผนตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา ส่วนข้อเสนอที่จะยื่นต่อเจ้าหน้าที่ของสหรัฐ ประกอบด้วย

การเพิ่มการนำเข้าพลังงาน, อากาศยานและ สินค้าเกษตรจากสหรัฐ และการสกัดกั้นไม่ให้ใช้ไทยเป็นจุดผ่านแดนสำหรับสินค้าที่มุ่งหน้าไปยังสหรัฐอเมริกา โดย รมว.คลัง กล่าวว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีแผนจะซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐอเมริกาปีละ 1 ล้านตัน มูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2026 อีกทั้ง ยังมีแผนจะนำเข้าก๊าซอีเทน 0.4 ล้านตัน มูลค่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐช่วง 4 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ รมว.คลัง ยังต้องการให้มีการลงทุนเพิ่มในโครงการชลประทานและพลังงานสะอาดทั้งสำหรับภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม
แม้จะมีมุมมองเชิงบวกต่อแผนของรัฐบาล แต่ประเมินว่า มูลค่าการนำเข้าที่วางแผนไว้ยังน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับที่ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐ 4.56 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (อ้างอิงจากข้อมูลในปี 2024) จึงมองว่า รัฐบาลอาจต้องยื่นข้อเสนอเพิ่มให้กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจทำให้ไทยต้องมีการนำเข้าสินค้าอื่นเพิ่มเติม เช่น เนื้อวัว ข้าวโพด และถั่วเหลืองจากสหรัฐอเมริกา
เป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะเปิดทางให้มีการนำเข้าเนื้อหมูและสัตว์ปีกจากสหรัฐอเมริกา เนื่องจากจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเกษตรกรในประเทศ ดังนั้น ความเสี่ยงของนโยบายภาษียังคงอยู่
ผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ ต่อกลุ่มหุ้นไทย
กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม
ประเมินว่า การปรับขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกาจะส่งผลกระทบต่อความต้องการที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรม จึงปรับประมาณการยอดขายที่ดินใหม่ในปี 2025 – 2027 ลงเป็น 39.4 – 60.0% โดยผลการวิเคราะห์ชี้ว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) และยอดขายที่ดินใหม่มีค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) สูงถึง 75.4% จึงเปรียบเทียบมาตรการภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับผลกระทบจากวิกฤติทางการเงินโลกในปี 2008 – 2009 (วิกฤติที่ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย) พบว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ลดลง 30.66% ในปี 2008 และ 59.55% ในปี 2009 ซึ่งการชะลอการลงทุนทำให้ยอดขายที่ดินของบริษัทในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมปรับลดลงตามไปด้วย
กลุ่มพลังงาน
ปรับลดประมาณการราคาน้ำมันดิบ Brent ในปี 2025 จาก 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลเป็น 65.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สะท้อนความเสี่ยงด้านอุปสงค์ เนื่องจากประเมินว่าการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้และปรับขึ้นภาษีภายใต้มาตรา 232 อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้ความต้องการน้ำมันลดน้อยลง
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนจากนโยบายที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและจากผลของการเจรจาทางการค้าอาจทำให้มีการชะลอการเพิ่มสต๊อกสินค้าโภคภัณฑ์ ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับตลาดน้ำมันโลกนอกเหนือจากมติของ OPEC+ ที่จะเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนเมษายน 2025
อีกทั้ง ประเมินว่าค่าการกลั่นจะได้รับผลกระทบเช่นกัน จึงปรับลดสมมติฐานค่าการกลั่นสิงคโปร์ในปี 2025/2026 เป็น 4.8/5.3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ตลาดก๊าซธรรมชาติของไทยอาจต้านทานผลกระทบได้ดีกว่า โดยมองว่าผลกระทบน่าจะไม่รุนแรง เนื่องจากอุปสงค์ในเอเชียและยุโรปค่อนข้างนิ่งมาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี 2024 และประเทศในอาเซียนอาจต้องนำเข้า LNG จากสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นเพื่อต่อรองทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา น่าจะช่วยหนุนราคาก๊าซ Henry Hub จึงปรับลดคำแนะนำของกลุ่มน้ำมันและก๊าซเป็น Underweight
กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
ปรับประมาณการกำไรปกติต่อหุ้นของบริษัทในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ของไทยลง 9 - 12% ในปี 2025 – 2027 สะท้อนอุปสงค์ที่ลดลงเพราะมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา เช่น มีมุมมองที่ Conservative มากขึ้นต่อการเติบโตของธุรกิจ Data Centre ช่วง 1 – 3 ปีข้างหน้า โดยข้อมูลของ Bloomberg แสดงให้เห็นว่าปีนี้ Microsoft จะชะลอการลงทุนใน Data Centre ในหลายประเทศ จึงมองว่าเป็นสัญญาณที่ชี้ว่าการลงทุนใน Data Centre ทั่วโลกจะชะลอตัวลง
เช่นเดียวกับธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ โดยถึงแม้ว่ากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์จะยังไม่อยู่ในกลุ่มที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้ แต่ก็ไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้ช่วง 3 – 6 เดือนข้างหน้า อีกทั้ง เนื่องจากยอดขายส่วนใหญ่บางบริษัทผูกกับลูกค้าในสหรัฐอเมริกา เช่น Texas Instruments Broadcom และ Sensata จึงประเมินว่ามาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา น่าจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อการฟื้นตัวของกำไรในปี 2025 – 2026
ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากมาตรการภาษี โดย S&P Global มองว่ามีความเป็นไปได้ 50% ที่อุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐอเมริกา ต้องเผชิญกับภาวะห่วงโซ่อุปทานชะงักงันนาน 16 – 20 สัปดาห์ จากการปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ทั้งหมดเป็น 25%
กลยุทธ์การลงทุน
จากสถานการณ์ดังกล่าวที่ยังไม่มีความแน่นอน กลยุทธ์การลงทุน ณ ปัจจุบัน จึงกำหนดสมมุติฐานการเลือกหุ้นไว้ 2 ข้อ คือ Domestic Defensive (เน้นดำเนินธุรกิจในประเทศ) และ High Yield Play (เงินปันผลสูง) น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยหุ้นกลุ่มโดดเด่น ได้แก่ กลุ่ม Domestic Defensive และ Yield Play กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้า และกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง