BTS เผย! กทม. จ่ายหนี้พร้อมดอกเบี้ยกว่า 30,000 ล้านบาทแล้ว
BTS เผย! กทม. จ่ายหนี้พร้อมดอกเบี้ยกว่า 30,000 ล้านบาทแล้ว ลั่น! หลังจากนี้คาดหวังได้รับค่าจ้างเดินรถตรงตามสัญญา ย้ำ ยินดีหากรัฐบาลซื้อสัมปทานก่อนครบกำหนด พร้อมมร่วมนโยบายรัฐ รถไฟฟ้า 40 บาทต่อวัน
บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส แถลงข่าวถึงกรณีที่ บีทีเอส ได้รับชำระหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวจากกรุงเทพมหานคร หรือ กทม. เป็นวงเงิน 36,444 ล้านบาท โดย นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บีทีเอส ได้รับมอบเงินจำนวน 36,444 ล้านบาท จาก กทม. ครบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นการจ่ายหนี้ทั้งหมด แบ่งเป็น เงินต้น 31,482 ล้านบาท และดอกเบี้ย 4,962 ล้านบาท
รู้สึกดีใจเพราะว่าที่ผ่านมาหลายปีบริษัท ได้รับความกดดันหลายอย่าง เนื่องจากถ้าไม่ทวงถาม ทางกทม.ก็ใช้เวลาพิจารณาค่อนข้างนาน แต่ว่าทั้งนี้ที่ผ่านมา เราต้องเป็นส่วนที่ต้องรับผิดชอบรายจ่ายให้พนักงาน และต้นทุนที่ต้องจ่ายทุกวัน ซึ่งเชื่อว่าจากนี้ไปภาระส่วนนี้ คงไม่มากดดันเราอีก : นายคีรี ระบุ
ส่วนวงเงินที่ได้รับการชำระหนี้ในวันนี้ 36,444 ล้านบาท บริษัทฯ จะนำไปชำระหนี้ประมาณ 15,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 20,000 ล้านบาท จะเตรียมไว้จ่ายหนี้ที่ใกล้จะครบกำหนด และลงทุนเพิ่มเติม
ด้านนายนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงรายละเอียดของการใช้หนี้ดังกล่าวว่า สำหรับกรอบวงเงินหนี้จำนวน 36,444 ล้านบาทที่ กทม.ได้ชำระมานั้น จะครอบคลุมหนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2560 จนถึงปัจจุบัน ได้แก่
1.หนี้งวดแรก ปี 2560-2564 ที่กทม. และ บริษัท กรุงเทพธนาคม ต้องชำระหนี้ให้บีทีเอส เป็นเงินต้น 10,978 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3,499 ล้านบาท รวม 14,447 ล้านบาท
2.หนี้งวดที่สอง ปี 2565 จนถึงปัจจุบัน กทม. และ บริษัท กรุงเทพธนาคม ต้องใช้หนี้ เงินต้น 10,128 ล้านบาท ดอกเบี้ย 2,708 ล้านบาท รวม 12,836 ล้านบาท
ซึ่งหากรวมหนี้ 2 ก้อน จะเท่ากับ 27,283 ล้านบาท แต่สำหรับส่วนต่างที่เกินมานั้น เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ กทม. และบริษัท กรุงเทพธนาคม ผิดนัดชำระ จึงทำให้หนี้กลายเป็น 36,444 ล้านบาท โดยในจำนวนหนี้ดังกล่าวบีทีเอสได้ลดให้แล้วเป็นจำนวน 200 ล้านบาท
ขณะที่ พ.ต.อ. สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ที่ปรึกษาประธานกรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สิ่งสำคัญในวันนี้ คือเหตุการณ์ที่ทางกทม. ได้มีการชำระหนี้ให้กับทางบีทีเอส และหากถามว่าสำคัญอย่างไรนั้น ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่น ให้กับทั้งผู้ลงทุน ผู้ถือหุ้นชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งสิ่งที่ทำให้กระบวนการทุกอย่างสิ้นสุดนั้นก็คือ ศาลปกครอง
เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไป จึงมีการนำเข้าที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุด ในการพิจารณาว่าคำวินิจฉัย คำพิพากษาของศาล จะออกมาเป็นอย่างไร เนื่องจากว่าเรื่องของทุนทรัพย์ เป็นทุนทรัพย์ที่มีจำนวนสูง และมีการยกประเด็นในการต่อสู้ต่างๆที่หลากหลาย จนกระทั่งที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาออกมา
นายคีรี ได้ย้ำว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราได้พยายามทุกอย่าง เพื่อทำให้รถไฟรถไฟฟ้าสายสีเขียวเส้นแรก และเป็นเส้นหลัก ของประเทศไทย ยังดำเนินต่อไปได้ แม้ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เราต้องออกเอง เพราะเชื่อว่ายังไงทุกอย่างก็ต้องคลี่คลาย และทางผู้ว่าฯหรือผู้บริหารของกทม. และบริษัท กรุงเทพธนาคม ต้องรับทราบ ว่าทุกอย่างที่บีทีเอสทำไปนั้นเป็นสิ่งถูกต้อง
จริงๆควรจะเห็นใจ และชื่นชมว่าบริษัทอย่างบีทีเอสให้เวลากับทางคู่สัญญาไปหาความจริง ไปศึกษาความจริง ซึ่งก็ใช้เวลายาวมาก เราไม่ใช่บริษัทที่จะมารอรับดอกเบี้ย แม้ว่าการจะหาความจริงใช้เวลายาวนาน จนเราได้รับดอกเบี้ยประมาณ 10,000 กว่าล้าน แต่เป็นสิ่งที่ผมไม่ได้เห็นด้วย เพราะถ้าหากมีการจ่ายหนี้ให้บีทีเอสมาตลอด เราก็คงต้องไปหาเงินทุนเพื่อมาบริหาร การให้บริการเดินรถทั้งสายอยู่ตลอด
นายคีรี ระบุว่า แม้ในวันนี้เรายังมีสัญญากับทาง บริษัทกรุงเทพธนาคม และกทม. อยู่ แต่เราก็จะทำการเดินรถและให้บริการอย่างดีที่สุดต่อไป เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบาย ส่วนกรณีที่ กทม. ประกาศปรับขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้า บีทีเอส สายสีเขียวส่วนต่อขยายที่จะเริ่มต้น 17-45 บาท จากอัตราเดิม 15 บาทตลอดสาย และรวมต่อสถานีหลักจ่ายไม่เกิน 65 บาท ที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไปนั้น ต้องขอชี้แจงว่า การปรับขึ้นค่าโดยสารในครั้งนี้ บีทีเอสไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ขณะที่ กทม. ต้องชำระค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ประมาณ 740 ล้านบาท ทุกวันที่ 20 ของทุกเดือนให้กับบีทีเอส ซึ่งบีทีเอสก็คาดหวังว่า การชำระค่าจ้างเดินรถตามสัญญาดังกล่าวจะไม่ล่าช้า และตรงต่อเวลา
อย่างไรก็ตามการที่บริษัทฯ ได้รับการชำระหนี้ในวันนี้ เชื่อว่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี เนื่องจากบริษัทฯ มีสภาพคล่อง และเงินทุนที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งทางกรุงเทพมหานคร ได้มีการทำข้อตกลงกับบริษัทฯ ในเรื่องการชำระหนี้ ทำให้หลังจากนี้การชำระหนี้จากกรุงเทพมหานคร จะตรงต่อเวลาอย่างแน่นอน
พร้อมกับยืนยันว่า บีทีเอส ในฐานะคู่สัญญาสัมปทานจะยังคงให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวอย่างต่อเนื่องตามสัญญาไปจนถึงปี 2585 แม้ในส่วนของเส้นทางหลักที่จะครบสัญญาในอีก 4 ปีข้างหน้าหรือในปี 2572 ส่วนกรณีที่รัฐบาลจะซื้อคืนสัญญาสัมทานรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลือง มองว่าเป็นแนวคิดที่ดี
เห็นด้วยกับนโยบายเหมาจ่าย 40 บาทต่อวัน
นอกจากนี้ นายคีรี กล่าวทิ้งท้ายว่า บีทีเอส เห็นด้วยกับนโยบายลดภาระค่าเดินทางให้ประชาชนของรัฐบาล ภายใต้โครงการเหมาจ่ายรายวันสำหรับบุคคลทั่วไปให้เดินทางด้วยรถไฟ้ฟ้าได้แบบไม่จำกัดเที่ยวเพียง 40 บาทต่อวัน ซึ่งหากรัฐบาลออกนโยบายดังกล่าวออกมาก็ยินดีที่จะเข้าร่วม
ซึ่งคาดว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้นประมาณ 50-70% จากปัจจุบันที่ใช้บริการกว่า 2 ล้านเที่ยว-คนต่อวัน โดยบีทีเอสมีปริมาณเที่ยววิ่งพร้อมที่จะรองรับความต้องการเดินทางของประชาชน
BTC
ETH
DOGE
ADA
BNB
KUB