จับตาแนวโน้มท่องเที่ยวไทย โอกาสขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาว
สนค. แนะจับตาแนวโน้มภาคการท่องเที่ยวไทย สู่โอกาสขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว หลังปี 67 ต่างชาติสร้างรายได้เข้าประเทศ 1.67 ล้านล้าน “จีน” ยังครองอันดับ 1
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผอ.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า ภาคการท่องเที่ยวเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีบทบาทในการสร้างงาน ในหลากหลายธุรกิจ อาทิ โรงแรม ร้านอาหาร และบริการด้านคมนาคมขนส่ง ทั้งนี้การส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวให้เติบโตมีปัจจัยท้าท้ายหลายด้าน ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจภายในประเทศต้นทางของนักท่องเที่ยว การระบาดของโรคติดต่อ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมทั้งความปลอดภัยในประเทศจุดหมายปลายทาง ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจเดินทาง

สถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย และรายได้ด้านการท่องเที่ยว ปี 2567
ข้อมูลเบื้องต้นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าในปี 2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทย มีจำนวนรวม 35.54 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.27 เมื่อเทียบกับปี 2566 และสร้างรายได้ 1.67 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับปี 2566 โดย 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 6,733,162 คน มาเลเซีย 4,952,078 คน อินเดีย 2,129,149 คน เกาหลีใต้ 1,868,945 คน และรัสเซีย 1,745,327 คน
การเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ สะท้อนถึงการฟื้นตัวที่ชัดเจนของภาคการท่องเที่ยวไทย ซึ่งคาดว่าได้รับอานิสงส์จากหลายปัจจัย อาทิ อุปสงค์การท่องเที่ยวระหว่างประเทศสูงขึ้น มาตรการยกเว้นวีซ่า การยกเว้นบัตร ตม.6 สำหรับด่านชายแดนทางบก การเพิ่มเที่ยวบินและการขยายเส้นทางการบินมายังประเทศไทย รวมทั้งการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ

เป็นที่น่าสังเกตว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติส่วนใหญ่ในปี 2567 เป็นกลุ่มตลาดระยะใกล้ อาทิ จีนซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แม้จำนวนในปี 2567 จะคิดเป็นเพียงสัดส่วนร้อยละ 60.45 ของปี 2562 (ช่วงก่อนเกิดโควิด-19) แต่คาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาการจัดทำสถิติท่องเที่ยวของไทยซึ่งใช้ตามแนวทาง IRTS 2008 ของ UN Tourism แสดงว่ารายได้ด้านการท่องเที่ยวขึ้นอยู่กับ 3 ตัวแปรหลัก ได้แก่ จำนวนนักท่องเที่ยว (คน) x วันพักเฉลี่ย (วัน) x ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวัน (บาท) เมื่อวิเคราะห์รายตัวแปรพบว่าทุกตัวแปรมีผลต่อการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของรายได้ด้านการท่องเที่ยวทั้งสิ้น แต่การส่งเสริมให้แต่ละตัวแปรเติบโตก็มีความท้าทายที่แตกต่างกันไป
1.จำนวนนักท่องเที่ยว : เป็นตัวแปรขนาดใหญ่ที่ติดตามผลได้ชัดเจน อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างมากที่สุดทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ หากนักท่องเที่ยวมีจำนวนมาก จะทำให้เกิดการใช้จ่ายที่หลากหลายและการขยายตัวของอุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจ แต่หากจำนวนลดลง ผลกระทบในทางลบก็จะชัดเจนเช่นกัน
2.วันพักเฉลี่ย : นักท่องเที่ยวที่มีระยะเวลาการพำนักที่นานขึ้น ก็มีแนวโน้มจะใช้จ่ายในกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้แก่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตามการจะส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวมีวันพักเฉลี่ยที่นานขึ้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล อาทิ ระยะเวลาที่สามารถท่องเที่ยวได้มีจำกัด พฤติกรรมการท่องเที่ยวสมัยใหม่ที่นิยมทริปสั้น ๆ และกำลังซื้อที่อาจลดลงหากเพิ่มจำนวนวันพัก
3.ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวัน (ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป/วันพักเฉลี่ย) : เกิดจากการคำนวณค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวแต่ละคนครอบคลุมหมวดหมู่ต่าง ๆ อาทิ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายด้านความบันเทิง ค่ารักษาพยาบาล และค่าซื้อสินค้าและของที่ระลึก โดยตัวแปรนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสะท้อนคุณภาพของนักท่องเที่ยวและความสามารถในการใช้จ่าย หากนักท่องเที่ยวใช้จ่ายต่อคนต่อวันในระดับสูง ก็จะนำไปสู่การเพิ่มรายได้ด้านการท่องเที่ยวแม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะไม่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเป็นตัวแปรที่ควบคุมได้ยาก เพราะมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ อาทิ อัตราแลกเปลี่ยนที่มีผลต่อกำลังซื้อ การแข่งขันด้านราคาของสินค้าและบริการซึ่งอาจทำให้นักท่องเที่ยวเลือกใช้จ่ายในราคาที่ถูกกว่า และพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ

ปัจจุบันโครงสร้างนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภูมิภาคอาเซียนและประเทศใกล้เคียงซึ่งมีค่าใช้จ่ายและวันพักเฉลี่ยไม่สูงนัก ดังนั้นอาจพิจารณาเจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ๆ เพื่อโอกาสในการเพิ่มรายได้ด้านการท่องเที่ยวและกระตุ้นให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น อาทิ
1.กลุ่มที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคปัจจุบันและมีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยเฉพาะภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวดังกล่าว อาทิ สปา และการฟื้นฟูสุขภาพเฉพาะทาง มักมีมูลค่าสูงกว่าการท่องเที่ยวทั่วไป จึงมีแนวโน้มที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงเข้ามาในไทยได้มากขึ้น
2.กลุ่มที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม (Event Tourism) ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางในการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่มีความสนใจเดียวกัน อาทิ การแสดงดนตรี งานเทศกาล และการแข่งขันกีฬา โดยกิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความรื่นเริงและประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับนักท่องเที่ยว แต่ยังกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ส่งผลต่อการกระจายรายได้และขยายการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับชุมชนอย่างมีนัยสำคัญ
ความผันผวนของปัจจัยภายนอกและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวถือเป็นความท้าทายที่สำคัญ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อส่งเสริมให้การท่องเที่ยวไทยเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน