ดื่มแต่ "น้ำหวาน" เลี่ยง "น้ำเปล่า" ภัยเงียบสะสมทำป่วยหนักไม่รู้ตัว
ดื่มน้ำหวานมากไป ส่งผลให้เกิดโทษต่อร่างกายหลายด้าน สะสมจนทำให้ป่วยหนักไม่รู้ตัว
จากกรณีที่มีหญิงสาวรายหนึ่งได้ออกมาเล่าประสบการณ์เป็นอัมพฤกษ์เพราะไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า ดื่มแต่นมเปรี้ยว ชา โกโก้ น้ำอัดลม น้ำสี น้ำผลไม้ เครื่องดื่มชูกำลัง แทนน้ำเปล่า จนสุดท้ายทำให้เลือดข้น เส้นเลือดในสมองตีบ สมองบวม ทำให้เกิดอาการอัมพฤกษ์ครึ่งซีกนั้น
จากข้อมูลทางการแพทย์ได้เผยถึงอาการเหล่านี้ดังนี้
ภาวะเลือดข้น
โดยทั่วไปอาการที่นำมานั้น มีได้ตั้งแต่ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย อ่อนแรง การมองเห็นผิดปกติ หน้าแดงผิดปกติ เหนื่อยง่าย เจ็บแน่นหน้าอก
ภัยร้ายจากชานมไข่มุก "น้ำตาล - คาเฟอีน" ส่งผลต่อสุขภาพ
ดื่มน้ำน้อยไปสุขภาพกายพัง "สูงอายุ- ป่วยเรื้อรัง" อันตรายถึงชีวิต
แต่ก็มีบางกลุ่มที่ไม่ได้มีอาการนำใดๆ มาก่อนเลย แต่ตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจเลือด CBC (Com plete Blood Count)
ภาวะเลือดข้นเกิดจากอะไร
ภาวะเลือดข้นมีหลายประเภท แต่ละประเภทจะแบ่งตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เช่น น้ำหนักตัวเกิน การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ปัญหาจากการผลิตเซลล์เม็ดเลือด หรือเป็นผลมาจากโรคต่างๆ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ภาวะเลือดข้นที่มีสาเหตุจากปริมาณน้ำเลือดหรือพลาสมาลดลง (Apparent Polycythemia) มักมีสาเหตุมาจากการที่มีน้ำหนักตัวเกิน การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก การใช้ยาขับปัสสาวะ หรือเป็นผลมาจากภาวะขาดน้ำในร่างกาย
ภาวะเลือดข้นที่มีสาเหตุจากไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงออกมาในปริมาณที่มากเกินไป (Absolute Polycythemia)
เมื่อมีภาวะเลือดข้น...รักษาอย่างไร
สำหรับการรักษานั้นมีหลายวิธีการขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ ตั้งแต่การถ่ายเลือด (Blood letting) จนถึงการให้ยาเพื่อลดการสร้างเม็ดเลือด เพื่อให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นและลดความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในอนาคต
ภาวะขาดน้ำ
ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) เกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียน้ำจากทั้งหลอดเลือดและเซลล์ของร่างกายมากกว่าที่ได้รับ โดยภาวะขาดน้ำมักจะสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง ก็จะมีการดึงน้ำออกจากเซลล์เพื่อลดระดับน้ำตาล ยิ่งถ้าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำมากๆ โดยไม่ได้รับการทดแทนในเวลาที่เหมาะสมก็จะทำให้เกิดผลเสียตามมาได้
เมื่อร่างกายขาดน้ำ…จะเกิดอะไรขึ้น?
เมื่อร่างกายขาดน้ำจะทำให้เซลล์เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ รวมถึงอาจกระตุ้นให้เกินภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ เช่น ตะคริวแดด ลมแดด สมองบวมเนื่องจากสมองจะดึงน้ำเข้าเซลล์จำนวนมาก และยังส่งผลกระทบถึงไตและระบบทางเดินปัสสาวะได้ เช่น การติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ นิ่วในไต หรือไตวาย และหากเกิดภาวะขาดน้ำบ่อยๆ เป็นระยะเวลานาน สามารถทำให้อาการชักได้ด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากแร่ธาตุในร่างกายที่ไม่สมดุล เช่น โพแทสเซียมและโซเดียม เป็นต้น ทำให้กล้ามเนื้อหดตัวหรือทำให้หมดสติได้
จะรู้ได้ยังไง…ว่าร่างกายกำลังขาดน้ำ
1. สังเกตจากสีของปัสสาวะที่มีสีเข้มมากกว่าปกติ หรือถ้าเข้าขั้นที่มีสีแดงหรือสีน้ำตาลเจือปน แนะนำให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน
2. เช็คความยืดหยุ่นของผิวหนัง โดยใช้มือดึงหนังที่บริเวณหลังมือขึ้นมาแล้วปล่อย ถ้าผิวสามารถเด้งกลับมาอยู่ที่เดิมได้ภายใน 2 วินาทีถือว่าปกติ แต่ถ้าใช้เวลานานกว่านั้น อาจเป็นสัญญาณของการขาดน้ำได้
3. เช็คการหมุนเวียนของเลือดบริเวณปลายนิ้ว โดยปกติแล้วเลือดเราจะวิ่งไปที่ส่วนปลายนิ้วมือ ทำให้เล็บของเรามีสีชมพูแดง วิธีเช็คคือให้บีบเล็บค้างไว้ 2-3 วินาที (เล็บจะกลายเป็นสีขาว) แล้วปล่อยออก เล็บควรกลับเป็นสีชมพูทันที แต่ถ้าปล่อยแล้วเกิน 3 วินาทียังเป็นสีขาว ให้ประเมินว่าอาจมีภาวะขาดน้ำเกิดขึ้นได้
ภาวะขาดน้ำ เกิดขึ้นได้ง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูร้อน และส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงระดับรุนแรง ดังนั้นการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันจึงเป็นสิ่งจำเป็น หากพบว่าที่มีภาวะขาดน้ำรุนแรง ควรรีบพาไปพบแพทย์โดยด่วนเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
อาการอัมพฤกษ์และสมองบวม
อัมพาตหรืออัมพฤกษ์เป็นผลที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่สมองเกิดภาวะผิดปกติ ทำให้สมองส่วนนั้น ไม่สามารถทำงานได้อาจเป็นอย่างชั่วคราวหรือถาวร อาการที่มักจะพบได้ทั่วไปก็คือ พูดไม่ชัด พูดไม่ถูกความหมาย ลิ้นแข็ง แขนขาไม่มีแรงหรือชาซึ่งอาการอาจเกิดได้แบบทันทีทันใด และค่อย ๆ เป็นมากขึ้นในช่วง 2-3 วัน หรือเป็น ๆ หาย ๆ สาเหตุอาจแยกได้ง่าย ๆ เป็น 2 กลุ่มคือ
1. กลุ่มหลอดเลือดสมองตีบตัน
2. กลุ่มเลือดออกในสมอง
กลุ่มแรกพบมากประมาณ 70% ของความผิดปกติทางสมองทั้งหมด ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้มีสาเหตุความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง ผลที่เกิดได้กับทั้งผู้ป่วยหรือครอบครัว คือ ประมาณ 30% ของผู้ที่มีความผิดปกติเกิดขึ้นจะเสียชีวิต อีก 30% ต้องทุพพลภาพหรือทำงานไม่ได้และเพียง 30% เท่านั้นที่หายจากโรคแต่ก็ต้องทานยาควบคุมไปตลอดชีวิต
สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน มี 3 สาเหตุใหญ่ ๆ ดังนี้
1. เกิดจากเส้นเลือดในสมองมีการตีบแคบลงเรื่อย ๆ ตามระยะเวลา ซึ่งส่วนมากในคนไทยมักจะเป็นจากสาเหตุนี้
2. มีก้อนเลือดแข็งตัวขนาดเล็กหลุดจากลิ้นหรือผนังหัวใจลอยไปตามกระแสเลือด และไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง อาจพบได้ในผู้ป่วยที่หัวใจโตอยู่ก่อน
3. เกิดจากมีการตีบแคบลงเรื่อย ๆ ของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองบริเวณคอ ถ้าเป็นหลอดเลือดที่คอด้านหน้าตีบอาการในระยะแรก โดยจะมาด้วยอาการแขนขาชาหรือมีอาการอ่อนแรงเป็นพัก ๆ หรือในบางรายมีอาการพูดไม่ออกหรือพูดไม่ชัด แต่ถ้าเป็นหลอดเลือดที่คอด้านหลังตีบจะมาด้วยมีอาการมึนงง เป็น ๆ หาย ๆ ความจำไม่ดีหรือตามัวลง
อาการและความรุนแรง
เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละคนมีสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงแตกต่างกัน และหลอดเลือดสมองก็มีขนาดต่าง ๆ กัน อาการของผู้ป่วยจะขึ้นอยู่กับช่วงระยะเวลาการดำเนินของโรค ตำแหน่งที่หลอดเลือดเกิดการตีบตันในสมองและขนาดของหลอดเลือดที่ตีบตันว่าเป็นหลอดเลือดใหญ่หรือ หลอดเลือดขนาดเล็ก อาการของโรคแบ่งความรุนแรงได้3 ระดับคือ
1. อาการน้อย อาการจะเป็นไม่มาก
อาจมีเพียงพูดไม่ชัด มุมปากตก แขนขาไม่มีแรง แต่พอที่จะเดินได้มักไม่มีอาการปวดศีรษะ กลุ่มนี้ถ้าได้รับการรักษาในระยะแรก ๆ ภายใน 2-4 สัปดาห์ มักจะกลับคืนเกือบปกติหรือหายเป็นปกติได้ในบางราย
2. อาการปานกลาง
อาจจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจเกิดขึ้นทันทีทันใดและอ่อนแรงมากขึ้นจนขยับแขนขาไม่ได้ หรือพูดไม่ได้เลย กลุ่มนี้จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเพื่อสังเกตอาการและรีบให้การรักษาในโรงพยาบาลเพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ภายใน 3-5 วัน หลังจากเริ่มมีอาการปรากฏ เช่น ซึมลงจากภาวะสมองบวมหรือภาวะเลือดซึมในสมอง การฟื้นตัวในผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเริ่มเห็นชัดประมาณสัปดาห์ที่ 3 อาการหลังจากนี้มักจะไม่กลับมาเป็นปกติอาจจะมีอาการเกร็งพูดไม่ชัด ซึ่งต้องทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องและต้องใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยในการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น ไม้เท้า รถเข็น
3. อาการหนัก
มักไม่รู้สึกตัวตั้งแต่ต้น หรือมีอาการซึมลงอย่างรวดเร็วมากภายใน 24 ชั่วโมง กลุ่มนี้มักเกิดกับผู้ป่วยที่หลอดเลือดสมองขนาดใหญ่ตีบตัน ซึ่งในผู้ป่วยสูงอายุโดยมากจะมีโรคประจำตัวหลายอย่างอยู่แล้ว เช่น โรคหัวใจโรคเบาหวาน หรือเคยเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตมาก่อน กลุ่มนี้มักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย ได้แก่ การติดเชื้อในปอดจากการสำลักสมองบวมผู้ป่วยมักจะต้องได้รับการดูแลในหออภิบาลผู้ป่วยหนักหรือหออภิบาลผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง ส่วนใหญ่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจเพราะผู้ป่วยไม่สามารถจะหายใจได้เองและบางรายต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อลดสมองบวม เมื่อพ้นระยะวิกฤตแล้วผู้ป่วยจะฟื้นตัวได้ระดับหนึ่งแต่ไม่มาก เนื่องจากเนื้อสมองถูกทำลายไปมาก ส่วนใหญ่จะต้องใช้ชีวิตอยู่บนเตียงหรือรถเข็น มักจะต้องเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาบ่อยครั้งเพราะปัญหาการติดเชื้อ เช่น ปอดอักเสบ แผลกดทับ กระเพาะปัสสาวะอักเสบฯลฯ
การตรวจสอบความเสี่ยงของโรค
เราสามารถตรวจสอบได้หลายวิธี ได้แก่
1. การตรวจเม็ดเลือดแดงเพื่อดูความเข้มข้นของเกร็ดเลือด
2. การตรวจการอักเสบของหลอดเลือด
3. การตรวจระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด
การตรวจวินิจฉัยรอยโรคด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยและมีความแม่นยำสูง เช่น
1. การตรวจสมองด้วยคอมพิวเตอร์(CT SCAN)
2. การตรวจสมองด้วยแม่เหล็ก (MRI)
3. การตรวจหลอดเลือดสมองด้วยสนามแม่เหล็ก (MRA)
4. การทำคอมพิวเตอร์สมองชนิดสามมิติ(Spiral CT Scan)
5. การทำอัลตราซาวด์หลอดเลือดคอ (Carotid duplex Ultrasound)
การรักษา
- การรักษาโดยการใช้ยา , การทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
- การผ่าตัดหลอดเลือดที่คอในผู้ป่วยหลอดเลือดที่คอตีบ และเคยมีอาการของหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เพื่อป้องกัน การเกิดอัมพาตซ้ำได้
- การผ่าตัดสมอง กรณีที่มีภาวะสมองบวมร่วมด้วย
โรงพยาบาลพญาไท, โรงพยาบาลกรุงเทพ