หยุดสับสน!ค่าตัวเลขใน "ใบตรวจสุขภาพ"บอกอะไรบ้าง ? ก่อนออกเที่ยวปลายปี
เช็กตัวเลขคำศัพท์ในใบตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง ก่อนออกเที่ยวปลายปีรับลมหนาว
ปลายปีนี้หลายคนวางแผนเที่ยว โดยถือฤกษ์ตรวจสุขภาพเพื่อให้ปลอดภัยก่อนเดินทาง และมักจะเกิดความสับสนกับตัวเลขและคำศัพท์มากมาย แม้แพทย์จะทำอธิบายไว้แล้วก็ตาม ทำให้เกิดความสงสัยว่า สรุปแล้วร่างกายเรายังปกติดี หรือเริ่มที่จะมีปัญหาและส่วนไหนที่ต้องดูแลเป็นพิเศษแล้วหรือไม่ งั้นมาลองเช็ก “ผลตรวจสุขภาพพื้นฐาน” ด้วยตัวเองแบบเข้าใจง่ายและถูกต้องกันค่ะ
ตรวจสุขภาพประจำปีสำคัญ ก่อนโรคภัยเงียบลุกลาม อายุน้อยก็เสี่ยงได้
5 เหตุผล ทำไมการตรวจสุขภาพเชิงป้องกันจึงสำคัญ
ขั้นตอนการตรวจสุขภาพพื้นฐานทั่วไป
- จะมีการวัดส่วนสูงและน้ำหนัก
- วัดความดันโลหิตก่อนเจาะเลือด
- เก็บปัสสาวะไปตรวจในห้องปฏิบัติการ
เพื่อตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมันประเภทต่างๆ ในเลือด ค่าการทำงานของตับและไต ค่ากรดยูริก และค่าต่างๆ ที่ตรวจได้จากปัสสาวะ เป็นต้น
ตัวเลขผลการตรวจสุขภาพบอกอะไรกับเรา
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count : CBC)เป็นการตรวจนับปริมาณ และลักษณะของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด
ตรวจเม็ดเลือดแดง วัดค่าฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb/HGB)
- ค่ามาตรฐานสำหรับผู้ชาย = 13.5-17.4 g/dL
- ค่ามาตรฐานสำหรับผู้หญิง = 12.0-16.00 g/dL
หากมีค่าน้อยจะเกิดภาวะโลหิตจาง (Anemia) เลือดจะนำออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้ไม่ดี หากมีมากเลือดจะหนืด (Polycythemia) เลือดไหลเวียนช้า เสี่ยงภาวะเม็ดเลือดแดงอุดตันบริเวณหลอดเลือดฝอย แต่พบไม่บ่อย
ตรวจเม็ดเลือดขาว เพื่อดูจำนวนเซลล์ (White Blood Cell Count : WBC)
- ค่าปกติของเม็ดเลือดขาวในคนที่แข็งแรงดีจะอยู่ที่ 4,500-10,000 cell/mL
หากตรวจพบค่าสูงกว่าปกติอาจมีภาวะการติดเชื้อ แต่ถ้าค่าต่ำกว่าปกติจะเสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
ตรวจเกล็ดเลือด (Platelet Count)
- ปริมาณเกล็ดเลือดมาตรฐานคือ 140,000-440,000 platelets/mm3
หากมีเกล็ดเลือดน้อยเกินไปจะมีภาวะเลือดหยุดยากหรือไม่หยุดเมื่อมีแผล ถ้ามีเกล็ดเลือดมากไปจะเสี่ยงภาวะหลอดเลือดตีบได้ง่าย
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar) เพื่อหาข้อบ่งชี้ของโรคเบาหวานหลังการงดอาหารและเครื่องดื่มที่ให้พลังงานมาแล้วอย่างน้อย 8 ชั่วโมง โดยหาค่าระดับกลูโคสในเลือด (Blood Glucose)
- ค่ามาตรฐานคือ 70-100 mg/dL
- หากเกิน 100 mg/dL จะเข้าข่ายเสี่ยงโรคเบาหวาน ควรตรวจติดตามผลทุกปี
- หากเกิน 126 mg/dL ถือว่ามีความเสี่ยงโรคเบาหวานสูง ควรทำการตรวจซ้ำในวันอื่น หรือทำการตรวจระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมจาก ฮีโมโกลบิน เอวันซี (GlycatedHb-HbA1c) หากได้ค่าเกิน 7 จะยืนยันได้ว่าเป็นเบาหวานแล้ว
ตรวจระดับไขมันคลอเรสเตอรอล (Cholesterol) และไตรกรีเซอร์ไรด์ (Triglyceride)
เป็นการตรวจเพื่อหาความเสี่ยงในการเป็นโรคที่เกี่ยวกับความดันโลหิต โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง โดยค่าที่เหมาะสมคือ
- คลอเลสเตอรอล (Cholesterol) ต้องไม่เกิน 200 mg/dL
- ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) ต้องไม่เกิน 150 mg/dL
- ไขมันไม่ดี (LDL-Cholesterol) ต้องไม่เกิน 100 mg/dL
- ไขมันดี (HDL-Cholesterol) ในผู้หญิงต้องมากกว่า 40 mg/dL ในผู้ชายต้องมากกว่า 50 mg/dL
"โรคหัวใจ" ต้องใส่ใจตรวจสุขภาพ รู้ทันความเสี่ยง เลี่ยงป่วย รักษาได้ทัน
ตรวจการทำงานของตับ (Liver Function Test : LFT)
เพื่อดูการทำงานของตับว่าผิดปกติหรือไม่ โดยตรวจหาเอนไซม์ โดยวัดค่า SGOT (Serum Glutamic Oxaloacetic Transaminase) หรือ AST (Aspartate Transaminase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่พบได้มากที่ตับและกล้ามเนื้อหัวใจ โดยค่าปกติของ SGOT (AST) ในผู้ชายและผู้หญิงจะต่างกัน ดังนี้
- ผู้ชาย 8-46 U/L
- ผู้หญิง 7-34 U/L
ส่วนค่า SGPT (Serum Glutamate-Pyruvate Transaminase) หรือ ALT (Alanine Aminotransferase) จะบอกถึงความเป็นพิษต่อตับที่อาจเกิดจากยาบางชนิด แอลกอฮอล์,อาหาร,หรือการติดเชื้อไวรัส โดยทั่วไปการตรวจตับจะนิยมตรวจค่า SGOT คู่กับค่า SGPT เสมอ ค่าปกติของ SGPT (ALT) จะแตกต่างกันที่เพศด้วย โดย
- ผู้ชาย 30 U/L
- ผู้หญิง 19 U/L
หากค่าที่วัดได้สูงกว่าปกติอาจบอกได้ว่าตับหรือตับอ่อนกำลังมีปัญหา
ตรวจการทำงานของไต (Blood Urea Nitrogen : BUN) และ ครีอะตินิน (Creatinine)
- การตรวจค่า BUN เป็นการตรวจเลือดเพื่อวัดค่าไนโตรเจนจากส่วนประกอบของยูเรีย ว่ามีการรั่วออกมาในกระแสเลือดมากน้อยแค่ไหน ซึ่งในผู้ใหญ่หากตรวจพบค่า BUN สูง แสดงว่าการทำงานของไตกำลังมีปัญหา อาจนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลันได้
- ค่า BUN ปกติจะอยู่ในช่วง 10-20 mg/dL
ส่วนค่าครีอะตินิน (Creatinine) เป็นการตรวจสมรรถภาพการทำงานของไตว่ายังขับครีอะตินินออกทางปัสสาวะได้ดีอยู่หรือไม่ ซึ่งค่าปกติของครีอะตินิน คือ หากค่าที่ได้สูง แสดงว่าไตทำงานแย่ลง ขับครีอะตินินได้ไม่ดี ทำให้เหลือค้างในกระแสเลือดมากเกินไป โดยค่าปกติจะอยู่ที่
- ผู้ชาย 0.6-1.2 mg/dL
- ผู้หญิง 0.5-1.1 mg/dL
ตรวจกรดยูริก (Uric Acid) ในเลือด หรือหาความเสี่ยงโรคเก๊าต์หรือสัญญาณที่ควรปรับพฤติกรรมให้กลับมาเป็นค็นค่าปกติ ซึ่งกรดยูริกปกติจะแตกต่างกันตามนี้
- ผู้ชายต้องไม่เกิน 5 mg/dL
- ผู้หญิงต้องไม่เกิน 8 mg/dL
ตรวจปัสสาวะ (Urine Analysis : UA) เป็นการตรวจลักษณะทางกายภาพ สี,กลิ่น,ความใสของน้ำ,สารเคมีหรือสารเจือปนต่างๆ แต่หลักๆ แล้วการตรวจปัสสาวะจะเป็นการหาความถ่วงจำเพาะ (Urine Specific Gravity) ซึ่งสามารถบอกได้ถึงการดื่มน้ำที่เพียงพอหรือไม่ โดยในผู้ที่ร่างกายปกติจะมี
- ค่าความถ่วงจำเพาะ อยู่ที่ 1.005 – 1.030
หากตรวจพบค่าที่มากเกินไปแสดงว่าร่างกายขาดน้ำ หรือดื่มน้ำน้อยเกินไป ควรปรับพฤติกรรมหรือหากตรวจเวลาไหนของวันยังได้ไม่เกิน 1.005 นั่นอาจแสดงว่ากลไกการควบคุมความเข้มข้นของปัสสาวะของไตเสื่อมสมรรถภาพ
ผลการตรวจสุขภาพทั้งหมดนี้ นับเป็นการตรวจคัดกรองสุขภาพเบื้องต้น ยังต้องมีการพบแพทย์ เพื่อซักประวัติ เพื่อประกอบการวินิจฉัย ซึ่งหากแพทย์พบความผิดปกติหรือประเมินแล้วว่ามีความเสี่ยงโรคอื่นใด อาจมีการตรวจซ้ำด้วยเครื่องมืออื่นเพื่อความแม่นยำ เพื่อรักษาก่อนโรคลุกลาม ซึ่งการตรวจสุขภาพควรทำอย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี เพื่อเช็กสภาพร่างกายให้แข็งแรงมั่นคงเสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเปาโล