“แผลในกระเพาะอาหาร” รักษากี่วัน-ทำอย่างไรให้หายขาด
เปิดวิธีป้องกันและการรักษา “แผลในกระเพาะอาหาร” โรคที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ต้องใช้เวลากี่วัน ทำอย่างไรให้หายขาด เช็กที่นี่!
หิวก็ปวด อิ่มก็ปวดท้อง! อาการบ่งบอก “โรคกระเพาะอาหาร” ที่พบได้บ่อยจนกลายเป็นโรคยอดฮิตที่หลายคนรู้จัก มีทั้งชนิดที่เป็นแผลและไม่เป็นแผล โดยอาการจะคล้ายคลึงกัน คือ มีอาการจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ เหนือสะดือ ปวดใต้ชายโครงซ้าย บางรายปวดร้าวแน่นถึงหน้าอก ซึ่งมักเป็นๆ หายๆ สัมพันธ์กับมื้ออาหาร
แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว โรคกระเพาะอาหารชนิดที่ไม่มีแผลจะพบได้มากกว่าโรคกระเพาะอาหารที่มีแผล
“โรคกระเพาะอาหาร”ปวดท้องแบบไหน อาการใดบอกความรุนแรง รู้ก่อนเป็นแผลทะลุ
รู้จักแบคทีเรียเอชไพโลไร (H. Pylori) พิษร้ายก่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
แต่ก็ไม่ควรละเลยตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคกระเพาะอาหารแล้ว เพราะถ้าปล่อยให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
จากข้อมูลโดยเฉลี่ย ผู้ป่วยประมาณ 10-15% มีภาวะแทรกซ้อนจากแผลในกระเพาะอาหาร เช่น ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร กระเพาะอาหารทะลุลึก กระเพาะอาหารตีบจากการที่มีแผลเรื้อรัง หรือมะเร็งกระเพาะอาหาร
ดังนั้นแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือใครที่พบว่าตัวเองมีแผลในกระเพาะอาหารแล้ว จะต้องรักษาตัวเองอย่างไรให้หายขาด มีวิธีดูแลตัวเองดังนี้
สาเหตุ “กระเพาะอาหารเป็นแผล”
เพื่อให้แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ก่อนอื่นเลยจะต้องรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้กระเพาะอาหารของเราเป็นแผลเกิดจากอะไรได้บ้าง ปัจจัยสำคัญก็คือ “กรดและน้ำย่อยที่หลั่งออกมาในกระเพาะอาหารเป็นจำนวนมาก” เข้ามาทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันกรดที่จะมาทำลายกระเพาะอาหารของเราให้บางลงๆ จนเกิดเป็นแผลในที่สุด
ซึ่งอาจเกิดจากพฤติกรรมที่ไม่สมดุลของเรา เช่น
- การกินอาหารไม่ตรงเวลา
- กินอาหารรสจัด
- การกินยาบางกลุ่มที่กระตุ้นการสร้างกรด เช่น กลุ่มแอสไพริน หรือยารักษากระดูก และข้ออักเสบบางชนิด แนะนำว่าให้ลองปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยากลุ่มดังกล่าว
- การสูบบุหรี่
- เชื้อแบคทีเรีย เอช ไพโลไร (H.pylori) จากการรับประทานอาหารที่ไม่สุก สะอาด จึงมีเชื้อดังกล่าวปนเปื้อนเข้าไป
อาการบ่งบอกมีแผลในกระเพาะอาหาร
- ปวดแสบท้องบริเวณลิ้นปี่ มักจะปวดเวลาหิวหรือท้องว่าง
- อาการปวดจะดีขึ้น เมื่อทานอาหารเข้าไป แต่ก็มักจะทานได้นิดเดียวก็รู้สึกอิ่มจุกแน่นท้อง
- อาการปวดทุเลา เมื่อกินยาลดกรด หรือดื่มนม
- เมื่อกินอาหารรสจัด เผ็ด เปรี้ยว จะมีอาการปวดแสบท้องทันที
- แน่นท้อง ท้องอืดบ่อย มีลมในกระเพาะอาหารมาก บางครั้งรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน
- มีอาการปวดท้องกลางดึกบ่อยๆ
สัญญาณเตือนควรพบแพทย์
- ถ่ายเป็นเลือดเหลวสีเข้ม หรือ อาเจียนเป็นเลือด อาจเข้าข่ายเลือดออกในกระเพาะอาหาร
- ปวดท้องรุนแรงขึ้นมาเฉียบพลัน อาจปวดร้าวไปที่สะบัก หน้าท้องแข็งและเจ็บ อาจเกิดการกระเพาะทะลุได้
รักษาได้หายขาดได้ แต่ต้องปรับพฤติกรรม
การรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร สามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็กลับมาเป็นซ้ำได้เหมือนกัน ดังนั้นการปรับพฤติกรรมเพื่อไม่ทำให้กระเพาะอาหารระคายเคือง หรือเกิดแผลในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นอีกเป็นสิ่งสำคัญ
อย่างไรก็ตาม เมื่อทำการรักษาจะต้องตรวจหาสาเหตุก่อนว่า เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เอช.ไพโลไร หรือไม่ เพราะถ้ามีเชื้อแบคทีเรียจะต้องทานยาฆ่าเชื้อ เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในกระเพาะอาหารให้หมดสิ้น ซึ่งแพทย์จะสั่งยาต้านการหลั่งกรด และยารักษาแผลในกระเพาะอาหารนี้ ซึ่งต้องกินติดต่อกันอย่างน้อย 4-8 สัปดาห์
แต่ถ้าหากไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะให้ยาลดกรดรักษาแผลมารับประทานประมาณ 4-6 สัปดาห์ แนะนำให้ทานให้ครบตามจำนวนโดส และควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลังจากนี้ จนกว่าจะมีอาการดีขึ้น จึงค่อยๆ กลับมารับประทานอาการที่ใกล้เคียงปกติ คือ
- รับประทานอาหารให้ตรงเวลา ไม่กินจุบจิบ เพราะทุกครั้งที่อาหารที่ตกถึงท้องจะกระตุ้นให้มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
- รับประทานอาหารให้พอดี ไม่ควรกินอิ่มมากเกินไปในแต่ละมื้อ เพราะถ้ารับประทานในปริมาณมากจนเกินไปอาจส่งผลให้กระเพาะขยายตัวมากขึ้น จะกระตุ้นให้มีอาการปวดท้องมากขึ้นตามมาได้
- รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช โดยเฉพาะใยอาหารที่ละลายน้ำได้ เช่น กล้วย แอปเปิ้ล มะละกอ ซึ่งมีใยอาหารประเภทแพคติน เข้ามาช่วยเคลือบกระเพาะอาหารให้สามารถทนกรดในกระเพาะอาหารได้ดีขึ้น
- หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เพราะอาจทำให้กระเพาะอาหารระคายเคืองได้
- หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนจัด เพราะอาจกระตุ้นอาการปวดท้องได้
- หลีกเลี่ยงอาหารทอด หรือไขมันสูง เพราะย่อยยาก ทำให้กระเพาะอาหารต้องขยายตัวและมีอาการปวดมากเพิ่มมากขึ้น
- งดสูบบุหรี่ เพราะทำให้ติดเชื้อแบคทีเรีย เอช ไพโลไร ได้ง่าย
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นม ชา กาแฟ ช็อกโกแลต และน้ำอัดลม เพราะมีสารกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งน้ำย่อยและกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น ทำให้แสบกระเพาะอาหารได้
- งดกินยากลุ่มแอสไพริน แก้ปวดข้อ ปวดกระดูก โดยไม่จำเป็น เพราะยาเหล่านั้นจะไปกระตุ้นการสร้างกรด
- ปล่อยวาง อย่าปล่อยให้ตัวเองเครียด เพราะเวลาที่เรามีความเครียดมากๆ กระเพาะอาหารจะหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ระบบการทำงานย่อยอาหารแย่ลง รวมถึงการทำงานของกระเพาะอาหารแย่ลงด้วย
ทั้งนี้หากวิธีรักษาดังกล่าว ไม่สามารถรักษาแผลที่มีอยู่ได้ คือยังมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง มีอาการแทรกซ้อน หรือเกิดมีกระเพาะอาหารทะลุ แพทย์อาจพิจารณาให้ทำการผ่าตัด
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช, โรงพยาบาลเปาโล และ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
“ลมในท้องเยอะ” ท้องอืด เรอ ผายลมบ่อย อาจเป็นสัญญาณโรคระบบทางเดินอาหาร