7 สัญญาณ “วัณโรคปอด” ไอเรื้อรังนานแค่ไหนควรพบแพทย์ หายได้หากรู้ทัน
วัณโรค โรคติดต่อที่พบว่าคือ 1 ใน 10 สาเหตุการเสียชีวิตของคนทั่วโลก ไม่เพียงทำให้เกิดวัณโรคปอด แต่ยังส่งผลให้เกิดวัณโรคกับอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้ หากรู้ทันสามารถรักษาให้หายได้
วัณโรค (tuberculosis) โรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เล็กมากมีชื่อว่า ไมโคแบคทีเรียมทูเบอร์ คูโลซิส (Mycobacterium tuberculosis) ติดต่อสู่มนุษย์โดยการสูดอากาศที่มีตัวเชื้อนี้เข้าไป ซึ่งเชื้อโรคชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษคือมีความคงทนต่ออากาศแห้ง ความเย็น ความร้อน สารเคมี และอยู่ในอากาศได้นาน แต่จะไม่ทนทานต่อแสงแดด
โดยคนส่วนใหญ่มักคิดว่าวัณโรคเป็นโรคเกี่ยวกับปอด เพราะเป็นกันมากที่สุด แต่จริงๆ แล้ว วัณโรคเป็นได้กับอวัยวะหลายส่วนของร่างกาย
กรมวิทย์ฯ ถ่ายทอดเทคโนโลยี "TB-LAMP" ส่งเสริมการตรวจหาเชื้อวัณโรคในไทย
นักวิจัยไทย วิเคราะห์โครงสร้างเอนไซม์สู่ยาต้านวัณโรคชนิดใหม่
เช่น ต่อมน้ำเหลือง กระดูก เยื่อหุ้มสมอง วัณโรคปอดมักพบในคนแก่ หรือคนที่ร่างกายอ่อนแอจากการเป็นโรคอื่นๆ มาก่อน เช่น หวัด หัด ไอกรน เอดส์ รวมถึงผู้ที่ติดยาเสพติด ผู้ที่ตรากตรำทำงานหนัก พักผ่อนไม่พอ ขาดอาหาร ดื่มเหล้าจัด ผู้ที่ใกล้ชิดกับคนที่เป็นวัณโรค
ทั้งนี้ในผู้ป่วยโรคเอดส์ วัณโรคเป็นโรคแทรกซ้อนที่สำคัญ จุดนี้ก็ทำให้วัณโรคหวนกลับมาแพร่กระจายมากขึ้น ซึ่งวัณโรคแพร่กระจายได้รวดเร็ว เนื่องจากติดต่อได้ง่ายทางอากาศโดยระบบทางเดินหายใจ
วัณโรค ติดต่อกันอย่างไร?
วัณโรคแพร่เชื้อโดยการไอ จาม ฝอยละอองเสมหะที่ออกมาจากปอดผู้ป่วย จะกระจายอยู่ในอากาศและตกลงสู่พื้น แต่เชื้อวัณโรคจะตายเมื่อถูกแสงแดดซึ่งมีรังสีอัลตราไวโอเลต โดยปกติ 10% ของผู้ที่ได้รับเชื้อจะเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค และส่วนใหญ่จะเกิดโรคใน 2 ปีแรก ส่วนอีก 90% จะไม่ป่วยเป็นวัณโรคเนื่องจากมีภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ผู้ที่มีความต้านทานต่ำ เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิต้านทาน หรือติดเชื้อ HIV จะเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคมากขึ้น ผู้ที่ติดเชื้อ HIV และได้รับเชื้อ TB จะมีโอกาสป่วยด้วยโรค TB มากกว่าผู้ที่ไม่ติดเชื้อ HIV หลายเท่า อาการแทรกซ้อนวัณโรคปอด อาจทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีในปอด ภาวะมีน้ำในช่องหุ้มปอด
อาการวัณโรค
- ไอ ระยะแรกๆ ไอแห้งๆ ไอนานกว่า 3 อาทิตย์ ต่อมาอาจจะมีเสมหะร่วมด้วย เจ็บชายโครงขณะไอ บางรายเป็นมากเสมหะจะเหนียวมีสีเขียวกลิ่นเหม็น ถ้าไอมากๆ บางครั้งมีเลือดปนเสมหะออกมาด้วย ทำให้เสมหะเป็นสีน้ำตาลหรือแดง อาจพบหายใจลำบากร่วมด้วย
- เป็นไข้ เป็นอาการตั้งแต่เริ่มแรก และมีความสำคัญที่จะชี้ถึงความรุนแรงของโรค เมื่อเป็นน้อยๆ ไข้ไม่สูง มักมีไข้ตอนบ่าย แต่ถ้าได้พักผ่อนมากๆ ไข้จะหายไปเอง ลักษณะของไข้จะขึ้นลงเปลี่ยนแปลงไปแต่ละวัน มีไข้ต่ำๆ
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายเมื่อออกแรงเล็กน้อย อาการดังกล่าวจะมากขึ้น นับแต่เริ่มเป็นจนกระทั่งเป็นมากขึ้น ไม่มีแรงเมื่อทำงานเล็กๆ น้อยๆ
- น้ำหนักตัวลดลง โดยเฉพาะในรายที่โรคกำลังเป็นมากขึ้น หรือรุนแรงมักจะผอมซีด
- เหงื่อออกผิดปกติในตอนกลางคืน อาจจะมีตั้งแต่ระยะเริ่มเป็นวัณโรค โดยเฉพาะระยะที่มีไข้
- เบื่ออาหาร บางรายพบว่า การย่อยอาหารไม่ปกติ โดยผู้ป่วยจะให้ประวัติว่ามีท้องเสียบ่อยๆ หรือมีคลื่นไส้อาเจียน
- ไอมีเลือดปน เลือดมักออกเวลาไอ อาจออกเพียงเล็กน้อย บางครั้งออกเป็นเลือดสดๆ
24 มีนาคม วันวัณโรคสากล เชิญชวนประชาชนตรวจคัดกรองโรค ฟรี!
ควรพบแพทย์เมื่อใด?
หากพบว่ามีอาการไอติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 2-3 สัปดาห์ ไอมีเสมหะปนเลือด หรืออาศัยอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคหรือเป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายไม่แข็งแรง เช่น โรคไต เบาหวาน ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ต้องขัง ผู้ติดสารเสพติดชนิดฉีด ควรรีบไปพบแพทย์
ผู้ป่วยวัณโรคควรปฏิบัติตัวอย่างไร
- กินยาตามที่แพทย์กำหนด
- ผู้ป่วยควรแยกห้องนอนและหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้อื่นในช่วงแรกของการรักษา
- ขณะไอหรือจามต้องใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก บ้วนเสมหะลงในภาชนะที่ปิดมิดชิด แล้วนำไปทิ้งในถังขยะเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทาน
- ออกกำลังกายได้ตามความเหมาะสม
- อยู่ในสถานที่หรือห้องที่มีลักษณะโปร่ง โล่ง มีหน้าต่างที่สามารถถ่ายเทอากาศได้สะดวก
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับอักเสบจากการใช้ยา
- หลีกเลี่ยงการเดินทางในที่สาธารณะที่มีผู้คนแออัด เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า หรือการเดินทางด้วยยานพาหนะร่วมกับผู้อื่นเป็นเวลานาน
- หลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์และการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเอสโตรเจนในระหว่างรักษาวัณโรค เพราะจะทำให้การคุมกำเนิดไม่ได้ผล
- วัณโรคป้องกันได้ ด้วยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และสวมหน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็นต้องใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคเป็นเวลานาน
วัณโรค สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ต้องรับประทานยาทุกวันอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันใช้สูตรยารักษา 6 เดือนซึ่งได้ผลดีที่สุด แต่ต้องใช้ยาหลายขนาน เหตุที่จำเป็นต้องใช้ยาหลายชนิดร่วมกันก็เพื่อป้องกันการดื้อยา ซึ่งจะทำให้การรักษาล้มเหลวและทำให้เชื้อวัณโรคดื้อยา หากการรักษาล้มเหลวไม่ควรเพิ่มยาเข้าไปเพียงชนิดเดียว การรักษาพิจารณาโดยแพทย์ด้านระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากเป็นแพทย์เฉพาะทางซึ่งจะเข้าใจในเรื่องอาการแทรกซ้อนและผลข้างเคียงของยารักษาวัณโรคได้ดี
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ,โรงพยาบาลเปาโลและโรงพยาบาลพญาไท
ภาพจาก :Shutterstock
ภาวะน้ำท่วมปอด คืออะไร ทำไมคนเป็นโรคหัวใจ-ไตต้องระวัง
มะเร็งปอด ไอเรื้อรังแบบไหนสัญญาณเตือน ลุมลามไปอวัยวะไหนได้บ้าง?