ระดับความเสี่ยง “โรคพิษสุนัขบ้า” หลังสัมผัส “เจ้าตูบ” และ “น้องเหมียว”
ถือเป็นเรื่องที่สร้างความวิตกกังวลไม่น้อยสำหรับ การแพร่ระบาดของ “โรคพิษสุนัขบ้า” ในบ้านเรา เนื่องจากมีรายงานผู้เสียชีิวิตจากการถูกเจ้าตูบกัดแล้วถึง 6 ราย และดูเหมือนว่าอาจมีแนวโน้มเพ่ิมสูงขึ้น จากสถานการณ์การแพร่ระบายที่ดูเหมือนว่ายังไม่สามารถควบคุมได้อยู่หมัด !!!
รู้หรือไม่ว่า ? จากการเก็บสถิตจำนวน “สุนัข” และ “แมว” ทั่วประเทศในปี 2559 โดยสำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่า ภาพรวมทั่วทั้งประเทศมีน้องหมาและน้องแมวมากกว่า 10 ล้านตัว ในจำนวนนี้เป็นสัตว์จรจัดมากกว่า 1 ล้านตัว ! จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจว่าเหตุใดในบ้านเรา จึงมีการแพร่ระบาดของโรคเจ้าปัญหานี้อยู่เนืองๆ
"โรคแมวติดคน" อันตรายที่คนมีสัตว์เลี้ยงต้องระวัง!!
โรคพิษสุนัขบ้าระบาด พบคนในหมู่บ้านติดเชื้อกว่าครึ่งร้อย
ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากสัตว์พาหะเพียงตัวเดียวสามารถแพร่เชื้อได้มากมาย ในขณะที่สัตว์ที่มีเจ้าของเลี้ยงดูก็ไม่ได้หมายความว่า เจ้าสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ จะไม่มีเชื้อยิ่งหากผู้เลี้ยงละเลยการพาไปฉีดวัคซีน ปัญหานี้จึงเป็นวงจรที่ไม่สามารถแก้ไขและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ...มาสังเกตอาการโรคพิษสุนัขบ้า ใน “เจ้าตูบ” และ “เจ้าแมวเหมี่ยว” กันเถอะ
ไม่เฉพาะ สุนัข และ แมว เท่านั้นที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เมื่อได้รับเชื้อเราสามารถสังเกตอาการที่แสดงออก แบ่งเป็น 2 แบบ คือ
1. แบบดุร้าย ส่วนใหญ่สุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ามักจะแสดงอาการแบบดุร้าย ในระยะแรกเริ่มสุนัขจะมีลักษณะผิดไปจากเดิม เช่น สุนัขที่เคยคลุกคลีกับเจ้าของจะแยกตัวและมีอารมณ์หงุดหงิด หรือสุนัขที่ไม่เคยคลุกคลีกับเจ้าของกลับมาคอยเคล้าเคลียเจ้าของ จากนั้น 2-3 วันต่อมาจะเข้าสู่ระยะตื่นเต้น โดยสุนัขจะหมกตัวอยู่ตามมุมมืด ตอบสนองได้ไวต่อเสียง และสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ควบคู่กับอาการกระวนกระวาย อาจแสดงอาการงับแมลงหรือวัตถุที่ขวางหน้า เช่น ก้อนหิน ดิน เศษไม้ แล้วจะเริ่มออกมาวิ่งพล่าน ดุร้าย กัดคน สัตว์ และทุกสิ่งที่ขวางหน้า สุนัขจะมีอาการเสียงเห่าหอนผิดปกติ ลิ้นห้อย น้ำลายไหลยืด ต่อมาจะมีอาการขาอ่อนเปลี้ยลง ลำตัวแข็งทื่อ ซึ่งสุนัขจะแสดงอาการในระยะตื่นเต้นนี้ประมาณ 1-7 วัน ในช่วงสุดท้ายอาจมีอาการชักแล้วตาย หรือเข้าสู่อาการระยะสุดท้ายคือระยะอัมพาต จะเกิดอาการอัมพาตทั้งตัวลุกขึ้นไม่ได้และมักจะตายภายใน 2-3 วัน
2. แบบเซื่องซึม ค่อนข้างสังเกตได้ยากเพราะจะแสดงอาการป่วยเหมือนสัตว์เป็นโรคอื่นๆ เช่น โรคหวัด สุนัขที่แสดงอาการแบบเซื่องซึมจะมีไข้ ซึม นอนซม ไม่กินอาหารและน้ำ ชอบอยู่ในที่มืดเงียบและไม่แสดงอาการดุร้าย แต่จะกัดหรืองับคนหรือสัตว์อื่นเมื่อถูกรบกวนหรือถูกบังคับหรือเมื่อผู้เลี้ยงเอาน้ำ อาหารหรือยาไปให้ หรืออาจแสดงอาการคล้ายกับมีก้างหรือกระดูกติดคอ เช่น ไอ ใช้ขาตะกุยคอ ต่อมาเมื่ออาการกำเริบมากขึ้นจะเดินโงนเงนเปะปะเป็นอัมพาตทั้งตัว มักตายภายใน 10 วันหลังแสดงอาการ ส่วนใหญ่ประมาณ 4-6 วัน โดยไม่แสดงอาการกลัวน้ำแบบที่พบในคน
เช็คระดับความเสี่ยงในการติดเชื้อพิษสุนัขบ้าเมื่อสัมผัสกับสัตว์ ?
แม้จะรู้ว่าโรคพิษสุนัขบ้าร้ายแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ และเมื่อใดก็ตามที่โดนหมาแมวกัดควรรีบไปหาหมอให้เร็วที่สุด เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาตามกระบวนการอย่างทันท่วงที แต่เชื่อว่าหลายคนยังไม่มีความรู้ในการประเมินความเสี่ยงในการติดเชื้อ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
• ระดับที่ 1 การสัมผัสที่ไม่ติดโรค : ถูกตัวสัตว์ ป้อนอาหาร ป้อนน้ำ โดยที่ผิวหนังไม่มีแผลหรือรอยถลอก / ถูกสัตว์เลีย สัมผัสน้ำลาย หรือเลือดของสัตว์ โดยที่ผิวหนังไม่มีแผลหรือรอยถลอก ควรล้างบริเวณที่สัมผัสแต่ไม่ต้องฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า
• ระดับที่ 2 การสัมผัสที่มีโอกาสติดโรค : ถูกเลียโดยน้ำลายถูกผิวหนังที่แผลหรือรอยถลอก หรือรอยขีดข่วน / ถูกงับเป็นรอยช้ำที่ผิวหนังไม่มีเลือดออกหรือเลือดออกซิบๆ / ถูกข่วนที่ผิวหนังเป็นรอยถลอก มีเลือดออกซิบๆ ให้รีบล้างและรักษาบาดแผลพร้อมรีบไปหาหมอเพื่อฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า (Rabies vaccine)
• ระดับที่ 3 การสัมผัสที่มีโอกาสติดโรคสูง : ถูกเลียหรือโดนน้ำลายสิ่งคัดหลั่งบริเวณเยื่อบุตา จมูก ปาก หรือแผลลึก แผลที่มีเลือดออก / ถูกข่วน จนผิวหนังขาดและมีเลือดออก / ถูกกัด โดยฟันสัตว์แทงทะลุผ่านผิวหนัง เป็นแผลเดียวหรือหลายแผลและมีเลือดออก / มีแผลที่ผิวหนังและสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากร่างกายสัตว์ ซากสัตว์ เนื้อสมองของสัตว์ / การชำแหละซากสัตว์และลอกหนังสัตว์ / กินอาหารที่ปรุงจากสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า ให้รีบล้างและรักษาบาดแผล พร้อมรีบไปหาหมอเพื่อฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า (Rabies vaccine) และอิมมูนโกลบูลิน (Rabies immune globulin) โดยเร็วที่สุด
ทิ้งท้ายกันไปด้วยคำแนะนำและข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้าที่ควรจำให้ขึ้นใจ ก็คือเมื่อถูกสัตว์ที่เป็นโรคหรือสงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด ข่วน หรือสัมผัสใกล้ชิด ควรรีบฟอกล้างแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ทันที แล้วรีบไปโรงพยาบาลใกล้บ้านทันทีเพื่อรับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องรวมทั้งฉีดยาป้องกัน ผู้ป่วยไม่ควรรักษาด้วยตนเองโดยใช้วิธีพื้นบ้านหรือปล่อยปละละเลยไม่ไปรักษาเป็นอันขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกลูกสุนัขหรือแมวกัดหรือข่วนไม่ควรประมาทว่าจะไม่เป็นอะไร
โรคนี้ถ้ามีอาการแสดงแล้วคือระยะที่เชื้อพิษสุนัขบ้าเข้าสู่เส้นประสาทส่วนปลาย ผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตทุกราย เพราะในปัจจุบันยังไม่มียาตัวไหนหรือวิธีรักษาใดที่จะฆ่าเชื้อไวรัสหรือรักษาให้หายได้ และแม้จะเคยมีรายงานว่ามีผู้ป่วยที่รอดชีวิต แต่ที่ผ่านมาทั่วโลกก็มีผู้ป่วยที่รอดชีวิตเพียง 6 รายเท่านั้น กว่า 90% ของผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคนี้ เป็นเพราะผู้ป่วยไม่ไปพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนหลังจากถูกสัตว์กัดนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก
1. สำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
2. haamor.com. “โรคพิษสุนัขบ้า”