"ปวดหัว" ใครว่าไม่ร้ายแรง เช็กอาการเสี่ยงโรคทางสมอง
อาการปวดหัวอย่านิ่งนอนใจเพราะบางอาการอาจส่งสัญญาณถึงโรคทางสมอง
อาการปวดศีรษะ ส่วนใหญ่มักจะไม่ได้มีสาเหตุที่ร้ายแรงและอาจบรรเทาไปเองได้ เมื่อปวดศีรษะ คงไม่แปลกที่หลายคนจะกังวลที่จะเป็นโรคที่อันตรายร้ายแรงไว้ก่อน แต่ทางที่ดีควรใจเย็นและสังเกตอาการ หาความสัมพันธ์ว่าปวดศีรษะนั้นๆมีปัจจัยอะไรที่ทำให้ปวดซ้ำๆ เช่น อาการปวดศีรษะบริเวณไหน มักเป็นเวลาใด อะไรที่ทำให้อาการดีขึ้น อะไรที่ทำให้อาการแย่ลงและมีอาการใดนำหรือตามหลัง
โดยปกติเมื่อพบแพทย์จะอาศัยการซักประวัติ การตรวจร่างกายทางระบบประสาท และการตรวจอื่นที่จำเป็น เพื่อแยกโรคต่าง ๆ ที่ไม่ใช่โรคทางสมองออกไปก่อน เช่น ไข้ เมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น หลอดเลือดขยายตัวจะทำให้ปวดศีรษะได้ง่าย
อาการมีความดันโลหิตสูง
- ไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ
- การเปลี่ยนแปลงของสายตาหรือโรคตา เมื่อต้องเพ่งสายตาทำให้เกิดการปวดศีรษะลามจากกรอบกระบอกตาได้
- การอักเสบของโพรงจมูก ไซนัส มักปวดบริเวณไซนัสนั้น ๆ
- การปวดบริเวณใบหน้า มักเป็นอาการแปล็บวิ่งร้าว
- การเจ็บของกล้ามเนื้อข้อต่อขากรรไกร มักสัมพันธ์กับการอักเสบของข้อต่อกราม
- การอักเสบกล้ามเนื้อต้นคอ หรือปัญหาจากกระดูกต้นคอเสื่อม
อาการปวดศีรษะที่สำคัญและพบบ่อยมาจากโรคต่อไปนี้
1.ปวดศีรษะจากความเครียด และกล้ามเนื้อตึงตัว(Tension headache)
เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดเกิดการเกร็งตัวของกล้าเนื้อรอบศีรษะผู้ป่วยจะรู้สึกมึนศีรษะเหมือนสมองถูกรัด อาการปวดอาจร้าวลงท้ายทอยหรือร้าวลงไปบ่าไหล่ บางคนอาจมีอาการปวดเป็นจุดวงกว้างบริเวณบนศีรษะ และอาจพบอาการปวดบริเวณเบ้าตาร่วมกันได้ ถ้าอาการปวดมากๆ บางครั้งการเดินหรือวิ่งอาจทำให้รู้สึกปวดมากขึ้น ส่วนมากอาการมักเกิดช่วงบ่ายหลังจากทำงานล้ามาทั้งวัน
สาเหตุของโรค คือ การพักผ่อนไม่พอเพียง การมีความเคร่งเครียด บางรายพบอาการหลังดื่มแอลกอฮอล์
การรักษา พักผ่อนให้เพียงพอและเป็นเวลา และหลับสนิท เพราะจะเป็นการคลายกล้ามเนื้อที่ดีที่สุด การหลีกเลี่ยงการทำงานเมื่อยล้าต่อเนื่องเป็นเวลานาน หากอาการไม่ทุเลาควรพบแพทย์เพื่อให้ยาคลายการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ยาบรรเทาอาการปวด
2.ปวดศีรษะจากหลอดเลือด (Vascular headache) แบ่งย่อยได้เป็น
• ไมเกรน เป็นโรคที่พบในคนอายุน้อยถึงวัยกลางคนมักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ผู้ป่วนส่วนใหญ่มีอาการปวดศีรษะมึนๆ บริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่ง(บางรายเป็นมากอาจจะปวดขมับทั้งสองข้างพร้อมๆกัน) อาการปวดมักร้าวไปที่กระบอกตาและมีความคลื่นใสอาเจียนร่วมด้วย หรือมักมีอาการทนต่อแสงจ้า/เสียงดังไม่ได้ บางรายอาจมีอาการนำก่อนเกิดอาการปวดศีรษะของไมเกรนนี้เกิดจากการขยายและหดตัวของหลอดเลือดแดงที่อยู่ชิดกับเยื้อหุ้มสมองหลัก จากได้รับการกระตุ้นจากการไม่สบายของร่างกายและจิตใจ
สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรน ได้แก่ การนอนพักผ่อนไม่สมดุลพอเพียง ความวิตกกังวล ร้อนแสงจ้า เสียงดัง กลิ่นไม่ชอบ เช่นกลิ่นบุหรี่ ไอเสีย น้ำมัน น้ำหอม กลิ่นอาหาร อากาศเปลี่ยน ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง เช่น (ก่อน/ระหว่าง/หลัง)มีประจำเดือน การใช้ยาคุมกำเนิดบางชนิด หรือ อาหารบางชนิด บางรายอาหารบางอย่างก็สามารถกระตุ้นให้ไมเกรนกำเริบได้ เช่น ไวน์แดง หรือกลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ สารแทนความหวาน ผงชูรส ช็อคโกแลต เนยแข็ง ยาบางชนิด หรือการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา
การป้องกัน คือ หลีกเลี่ยงจากปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการไมเกรน ถ้าผู้ป่วยยังคงมีอาการบ่อยมาก ปวดรุนแรงมากหรือรบกวนการดำรงชีวิตประจำวัน
การรักษา ต้องเข้าใจว่าไมเกรนเป็นโรคที่ไม่หายขาด การรักษาจะช่วยให้ความรุนแรงลดลง และการเกิดไมเกรนห่างออกไปและไม่รบกวนชีวิตประจำวัน ในช่วงที่มีอาการปวดไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาให้ยาที่เหมาะสมไม่ควรซื้อยาทานเองเพราะยาจะมีอาการข้างเคียงได้หลายรูปแบบ
• ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ เป็นโรคที่พบได้น้อยมักพบในผู้ชายอายุ 20-40 ปี มักปวดศีรษะซีกเดียวหรือหน้าครึ่งซีก โดยเฉพาะกระบอกตาลึกๆ และบริเวณใกล้เคียง มีตาแดง น้ำตาไหลและคัดจมูกในด้านเดียวกัน อาการปวดมักมาเป็นชุดๆ ตามชื่อ (คลัสเตอร์แปลว่าเป็นกลุ่มๆ) ในช่วงที่โรคกำเริบจะเกิดอาการหลังจากกระตุ้นจากแอลกอฮอล์ การเดินทาง การขึ้นที่สูง ได้กลุ่มยาไนเตรท อาหารที่มีในเตรทแต่ในช่วงที่โรคสงบตัว สิ่งกระตุ้นดังกล่าวจะไม่มีผลให้เกิดอาการปวดศีรษะ
อาการปวดศีรษะที่เกิดจากความผิดปกติในสมอง
เป็นกลุ่มอาการปวดที่มีความสำคัญมากที่แพทย์ต้องทำการวินิจฉัยเพื่อให้การรักษาที่เหมาะสม ได้แก่
- เนื้องอกในสมองชนิดต่างๆ
- การติดเชื้อเยื้อหุ้มสมองหรือเนื้อสมอง ฝีในสมอง
- เส้นเลือดสมองแตก มีเลือดในสมอง
- เส้นเลือดสมองสานตัวต่อผิดปกติหรือโป่งผอง
- พยาธิเข้าในเยื้อหุ้มสมองหรือเนื้อสมอง
อาการปวดศีรษะจากโรคในกลุ่มนี้จะมีลักษณะที่มีอาการปวดมาขึ้นเรื่อย ๆ เป็นลำดับ จากสิ่งที่ผิดปกติมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความดันในช่องศีรษะที่เพิ่มขึ้น อาการปวดจะอยู่ลึกๆ ในศีรษะและมีอาการทางระบบประสาทปรากฏร่วม เช่น การมีอาการแขนขา อ่อนแรง/ชาครึ่งซึก พูดไม่ชัด กลืนลำบาก หรือการได้ยินลดลง อาเจียนพุ่ง ซึม ซัก หมดสติได้
การตรวจรักษา
แพทย์จะทำการซักประวัติโดยละเอียด ทำการตรวจร่างกายทั่วไปและทางระบบประสาท และพิจารณาส่งตรวจเพิ่มเติมตามที่เห็นสมควรเพื่อให้ข้อมูลสนับสนุนการวินิจฉัยโรค การตรวจเพิ่มเติมมีทั้งการตรวจเลือด การตรวจเอ็กซเรย์ ซึ่งมีทั้งเอ็กซเรย์กะโหลกศีรษะแบบธรรมดาเพื่อดูโพรงไซนัส และลักษณะกระดูกหรือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง(CT SCAN) รวมทั้งการพิจารณาส่งตรวจด้วยสนามแม่เหล็ก (MRI) ซึ่งจะให้ความละเอียดมากขึ้น อีกทั้งการพิจารณาฉีดสีในบางรายในกรณีที่แพทย์เห็นสมควร
นอกจากการตรวจเอ็กซเรย์ การตรวจอื่นที่จำเป็นเช่น การเจาะกรวดน้ำไขสันหลัง ในรายที่สงสัยมีการติดเชื้อเยื้อหุ้มสมองหรือสงสัยว่ามีเลือดออกในช่วงน้ำไขสันหลัง และการส่งทำคลื่นสมอง (EEG) ตามความเหมาะสมตามความผิดปกติ
ดังนั้นผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะจึงควรพบปรึกษาแพทย์ทางระบบประสาท เพื่อให้ได้รับคำแนะและการตรวจรักษาที่เหมาะสม
หน้าร้อนต้องระวัง! 4โรคยอดฮิตของเด็กๆ