“ภาวะก่อนเบาหวาน” รู้ทันก่อนเป็นโรคเรื้อรังรักษายากอันตรายถึงชีวิต

ภาวะก่อนเบาหวาน (Prediabetes) หรือเรียกอีกชื่อว่าภาวะเบาหวานแฝง คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ จากการที่ระบบควบคุมน้ำตาลของร่างกายทำงานผิดปกติ แต่ไม่ได้อยู่ในระดับที่เป็นผู้ป่วยเบาหวาน ทำให้ส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองอยู่ในภาวะนี้ จึงขาดการดูแลอย่างถูกต้อง รู้อีกทีอาจป่วยเป็นโรคเบาหวานไปแล้ว และสามารถทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคสมองและหลอดเลือดได้ด้วย

9 อาการเบาหวาน สัญญาณที่อาจมองข้าม เช็กก่อนคุมไม่ได้อันตรายถึงชีวิต

“เบาหวาน” ควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่ดี เสี่ยงภาวะแทรกซ้อนร่างกายทั้งระบบ

Freepik/EyeEm

สาเหตุของภาวะก่อนเบาหวาน

แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของภาวะก่อนเบาหวาน แต่การที่ระดับน้ำตาลในร่างกายเกิดความผิดปกติ โดยเฉพาะตับอ่อนผลิตอินซูลินไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย รวมถึงการที่กระบวนการของร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินช้า ส่งผลให้เกิดภาวะก่อนเบาหวานได้ นอกจากนี้กรรมพันธุ์ ภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์ ไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะก่อนเบาหวานได้

กลุ่มเสี่ยงภาวะก่อนเบาหวาน

• ผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป

• ผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ ภาวะอ้วน

• ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง

• ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด

• ผู้ที่มีกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่

• ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเบาหวาน

• ผู้ที่มีประวัติเบาหวานขณะตั้งครรภ์

• ผู้ที่สูบบุหรี่

อาการภาวะก่อนเบาหวาน

• กระหายน้ำ หิวบ่อย

• ปัสสาวะบ่อย

• อ่อนเพลีย

• มองเห็นภาพไม่ชัด

• หรือไม่มีอาการใด ๆ เลย

ตรวจวินิจฉัยภาวะก่อนเบาหวาน

• ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารและเครื่องดื่ม 8 ชั่วโมง (Fasting Plasma Glucose) โดยระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารที่มีภาวะก่อนเบาหวานจะอยู่ระหว่าง 100 – 125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

• ตรวจความทนต่อน้ำตาลกลูโคส (Oral Glucose Tolerance Test) โดยจะให้ดื่มน้ำละลายกลูโคสแล้วตรวจดูระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดหลังดื่ม หากมีภาวะก่อนเบาหวานค่าที่ได้จะอยู่ที่ 140 – 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

• ตรวจระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1C) เพื่อบอกระดับน้ำตาลในเลือดตลอดช่วง 3 เดือน หากมีภาวะก่อนเบาหวานระดับที่ได้จะอยู่ระหว่าง 5.7 – 6.4%

“หาวบ่อย” อาจไม่ใช่แค่การพักผ่อนไม่พอ แต่มีโรคแฝง เช็กอาการรีบพบแพทย์

วิธีการรักษาภาวะก่อนเป็นเบาหวาน

• ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

• ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที

• ลดอาหารหวาน มัน เค็ม

• งดสูบบุหรี่

• หากปรับพฤติกรรมแล้วไม่ได้ผล แพทย์อาจให้รับประทานยาร่วมด้วย

ที่สำคัญควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ในกรณีที่มีความเสี่ยงควรตรวจติดตามระดับน้ำตาลในเลือดทุก 3 เดือน คุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ รวมถึงการรักษาระดับไขมันในเลือดไม่ให้สูงจนเกินเกณฑ์กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสมนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ

“มะเร็งเต้านม” คัดกรองด้วยแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ รู้ทันโรคก่อนลุกลาม

วิธีอยู่ร่วมกับผู้ป่วยซึมเศร้า การรับฟังอย่างเข้าใจ ช่วยให้ดีขึ้นได้