ไขความลับ พาราเซตามอล รักษาอาการปวดตรงจุดได้อย่างไร ?
เคยสงสัยกันไหมว่า? ยาพาราเซตามอล รู้ได้อย่างไรว่าเราปวดตรงไหน? ทำไมรักษาอาการปวดได้สารพัด เผยกลไกการทำงานของยา และนานแค่ไหนกว่าจะออกฤทธิ์แก้ปวด
ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) หรือ อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) กลุ่มยาสามัญประจำบ้าน ช่วยบรรเทาอาการปวด ลดไข้ ตั้งแต่เล็กน้อยถึงปานกลาง อาทิ อาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยจากไข้หวัด ปวดฟัน ปวดประจำเดือน ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง และปวดจากข้อเสื่อม นับเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย รับประทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมตามที่แพทย์กำหนด เพื่อลดผลกระทบต่อตับ เพราะหากใช้ไม่ระวังเสี่ยงอันตรายได้ถึงชีวิตได้
Freepik/freepik
คนกินยา
กลไกการออกฤทธิ์ของยาพาราฯ
เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมยาพาราฯ ถึงแก้ปวดได้สารพัด และรู้ได้อย่างไรว่าเราเจ็บป่วยที่ไหน?
จากข้อมูลทางการแพทย์ อธิบายไว้ว่าจริง ๆ แล้ว ยาพาราฯ ไม่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และคาดว่าออกฤทธิ์กับสารเคมีบางชนิดในสมอง โดยการเข้าไปยับยั้งการสร้างพรอสตาแกลนดิน(prostaglandin) แบบอ่อนๆ ในระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้อาการปวดบรรเทาลง พร้อมกับยับยั้งศูนย์ควบคุมอุณหภูมิร่างกายที่ไฮโปธาลามัส (hypothalamus) ซึ่งทำให้ไข้ลดลงได้
นั่นหมายความว่า ยาพาราฯ ไม่ได้รู้ว่าเราปวดตรงไหน แต่ออกฤทธิ์โดยตรงกับระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ช่วยบรรเทาอาการได้นั้นเอง โดยตัวยาพาราฯ ชนิดเม็ด จะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 11 นาทีหลังการใช้ยาและอยู่ได้นานอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
ยาพาราเซตามอล หากแตกตัวได้ไวจะเป็นอย่างไร
ยาพาราเซตามอล ขนาด 500 มิลลิกรัม หากมีกรรมวิธีการพัฒนาและการผลิตที่ดี จะมีคุณสมบัติแตกตัวได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่า จะทำให้โอกาสในการละลาย และการดูดซึมเร็วดียิ่งขึ้น และออกฤทธิ์ทำให้หายปวดเร็วขึ้นตามไปด้วย ที่สำคัญยาพาราเซตามอล เป็นยาที่ไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร เด็ก ผู้สูงอายุ คนท้องสามารถทานได้ เมื่อมีอาการ แต่ต้องทานในปริมาณที่แพทย์และเภสัชกรแนะนำ
ข้อควรรู้และข้อควรระวังก่อนใช้ยา
- ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติแพ้ยาพาราเซตามอล
- ไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเกิน 5 วัน
- ห้ามใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาดที่แนะนำในฉลาก เอกสารกำกับยา และควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรเท่านั้น
- หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ร่วมกับยาอื่นที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ เพราะอาจทำให้ได้รับยาเกินขนาด
- ถ้ามีไข้สูง (อุณหภูมิร่างกายมากกว่า 39.5 เซลเซียส) ให้รีบไปพบแพทย์
- หากท่านมีโรคประจำตัวเป็นโรคตับ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้ เพราะอาจเกิดอันตรายจากยานี้ได้ง่ายขึ้น
- กินยาพาราเซตามอลก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
- เป็นยารักษาตามอาการ หากไม่มีอาการปวดหรือไข้ไม่จำเป็นต้องกินยา
ทั้งนี้การกินยาพาราเซตามอลติดต่อกันนานเกินไป ขนาดยามากเกินไป หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย อาจส่งผลให้ตับทำงานบกพร่อง และอาจเกิดภาวะตับอักเสบหรือตับวายได้ และเพื่อให้คงประสิทธิภาพของยาไม่ควรแกะยาออกจากแผง และเก็บให้พ้นความชื้น แสงแดด และความร้อนเพื่อไม่ให้ยาเสื่อมสภาพ และควรเก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง สังเกตวันหมดอายุก่อนรับประทาน
ขอบคุณข้อมูลจาก :
1.โรงพยาบาลเปาโลรังสิต. ( 2565, 18 พฤษภาคม). ยาพาราเซตามอล กินอย่างไรให้ปลอดภัย.
https://www.paolohospital.com/th-TH/center/Article/Details/ยาพาราเซตามอล-กินถูกวิธี-ชีวิตปลอดภัย
2. พญ.เมษญา ชาติกุล ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์ สภาเภสัชกรรม. ( 2564,12 กรกฎาคม). การใช้ยาพาราเซตามอลอย่างสมเหตุผลและการรักษาภาวะพิษจากยา.
https://ccpe.pharmacycouncil.org/index.php?option=article_detail&subpage=article_detail&id=1041
3.ภญ.นันทพร เล็กพิทยา หัวหน้างานเภสัชกรรมคลินิก ฝ่ายเภสัชกรรม คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล. ( 2567, 5 สิงหาคม). กินพาราเซตามอลเกินขนาด ส่งผลถึงชีวิต.https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/พาราเซตามอล-กินมากไปเสี/