10 ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) สาเหตุการพิการและเสียชีวิต
โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 และพิการอันดับ 3 ของไทย พบผู้เสียชีวิตกว่า 34,545 รายต่อปี หากรู้เร็ว รักษาภายใน 4.5 ชั่วโมง ลดเสี่ยงทุพพลภาพ
รู้หรือไม่ว่า! โรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุอันดับ 2 ของการเสียชีวิตจากการป่วย และเป็นสาเหตุอันดับ 3 ที่ทำให้เกิดความพิการ ทั้งนี้ จากการสำรวจในปี 2562 และสถิติจากกระทรวงสาธารณสุขในปี 2563 พบว่า มีผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองถึง 34,545 คน ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีแนวโน้มตัวเลขว่าจะสูงขึ้นทุกปี
โรคหลอดเลือดสมองคืออะไร ?
โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke คือ ภาวะสมองขาดเลือดที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ อุดตัน หรือมีเลือดออกในสมอง ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ เซลล์สมองจึงขาดออกซิเจน
ส่งผลให้สมองตายในที่สุด ผู้ป่วยที่เกิดภาวะสมองขาดเลือดจำเป็นจะต้องรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุดในทันที และทำการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะความรุนแรงและระยะเวลาตั้งแต่มีอาการมีผลต่อจำนวนเซลล์สมองที่ตาย ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะทุพพลภาพ พิการ หรือเสียชีวิตได้
10 ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง
- เป็นโรคความดันโลหิตสูง
- เป็นโรคเบาหวาน
- เป็นโรคไขมันในเลือดสูง
- เป็นผู้มีไขมันคอเรสเตอรอลสูง
- เป็นโรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิด atrial fibrillation ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคลิ้นหัวใจติดเชื้อ
- เป็นผู้ที่สูบบุหรี่ หรือได้รับควันบุหรี่ต่อเนื่อง
- เป็นโรคอ้วน
- เป็นผู้ที่ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
- เป็นผู้มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- เป็นผู้ใช้สารเสพติด ยาหรือสารกระตุ้น
นอกจากนี้ ยังมีโรคบางอย่าง รวมถึงความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ที่ทำให้อัตราเสี่ยงในการเกิดโรคเลือดสมองเพิ่มขึ้นได้ด้วย เช่น
- โรคหลอดเลือดแดงที่คอตีบ (severe carotid or vertebral stenosis)
- ภาวะเลือดแดงหรือเกล็ดเลือดผิดปกติ (Polycythemia vera or Essential thrombocytosis)
- ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (Thrombophilia)
- โรคหลอดเลือดผิดปกติแต่กำเนิด เช่น โรค Moyamoya, Cerebral autosomal dominant and subcortical leukoencephalopathy (CADASIL)
- มีการเซาะตัวของผนังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง (carotid or vertebral artery dissection)
ปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าปกติ ?
- เชื้อชาติ : กลุ่มคนชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันจะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนเชื้อชาติอื่น
- เพศ : เพศชายมีความเสี่ยงสูงกว่าเพศหญิง แต่มักพบว่าเพศหญิงจะเป็นโรคหลอดเลือดสมองเมื่ออายุมากขึ้น และมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่าเพศชาย
- พันธุกรรม : ในครอบครัวที่มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมองจะมีความเสี่ยงมากขึ้น
- การใช้ฮอร์โมน : ในผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดหรือเคยใช้ฮอร์โมนบำบัดที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมากขึ้น
ยิ่งอายุมากยิ่งเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองจริงไหม ?
อายุที่มากขึ้น ระบบการทำงานในร่างกายก็จะเสื่อมสภาพหรือทำงานได้ลดลง จึงมีผลทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย ในโรคหลอดเลือดสมองก็เช่นกัน เมื่อผนังหลอดเลือดเสื่อมลง ความยืดหยุนลดลง ก็ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบได้ง่ายขึ้น โดยพบว่าผู้สูงวัยที่อายุ 55 ปีขึ้นไปจะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนหนุ่มสาว
อาการ โรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมองตีบ ตัน หรือแตก ทำให้สมองขาดเลือดไปเลี้ยง ซึ่งส่งผลให้สมองเสียหายจึงทำงานผิดปกติและแสดงอาการออกมา โดยความรุนแรงหรืออาการจะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับตำแหน่งของสมองที่ถูกทำลาย เช่น
- พูดไม่ชัด พูดไม่ได้ หรือพูดไม่รู้เรื่อง และไม่สามารถเข้าใจคำพูดของคนอื่น รู้สึกสับสน มึนงง มีปัญหาในการทำความเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด
- แขนขาอ่อนแรง ชาบริเวณหน้า แขน ขา โดยส่วนใหญ่แล้วอาการจะเกิดกับร่างกายแค่ด้านเดียว ร่วมกับอาการปากเบี้ยว พูดไม่ชัดหรือพูดไม่ได้
- ตามัวเฉียบพลัน มีปัญหาด้านการมองเห็น โดยที่ตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างเกิดอาการตามัวแบบเฉียบพลัน หรือเห็นภาพซ้อน
- มึนงง เวียนศีรษะ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ เวียนหัวเฉียบพลัน ร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน
- เดินเซ การทรงตัวผิดปกติ หรือซึมลง (Altered Consciousness)
หากมีอาการดังที่กล่าวมา ผู้ป่วยควรพบแพทย์ทันที แม้ว่าอาการเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และหายไป ในกรณีที่สงสัยว่าตัวผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดที่มีอาการดังกล่าวใช่สัญญาณของโรคหลอดเลือดสมองหรือไม่ แนะนำให้ตรวจเช็กตามแนวทางของ “FAST” ดังนี้
- F (Face) ใบหน้า :ให้พยายามยิ้ม แล้วสังเกตว่ามีอาการปากเบี้ยวหรือไม่
- A (Arm) แขน : ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะทั้งสองข้าง แล้วสังเกตว่าแขนข้างใดข้างหนึ่งตกหรือไม่มีแรงหรือไม่
- S (Speech) คำพูด :ให้ลองถามคำถามง่ายๆ ว่าตอบได้หรือไม่ เข้าใจหรือไม่ เสียงตอบชัดหรือไม่
- T (Time) ระยะเวลา หากเกิดอาการเหล่านี้ 1 ใน 3 อย่าง มีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดสมองประมาณ 72 % แต่ถ้ามีอาการทั้ง 3 ข้อ จะมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดสมองมากว่า 85 % ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะยิ่งผู้ป่วยได้รับการรักษาเร็วเท่าไหร่ ยิ่งลดความเสี่ยงของภาวะสมองขาดเลือด และลดความรุนแรงของภาวะทุพพลภาพได้มากขึ้นเท่านั้น
โรคหลอดเลือดสมองสามารถรักษาได้ หากเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที ในกรณีที่มีอาการบ่งชี้ แพทย์จะทำการตรวจด้วยการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อวิเคราะห์แยกโรค เพราะอาจมีโรคที่มีอาการใกล้เคียง อย่างเช่น เนื้องอกในสมอง ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงผิดปกติเป็นต้น
นอกจากนี้จะมีการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด รวมถึงตรวจหลอดเลือดแดงที่คอด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Carotid doppler ultrasound) และการฉีดสีเข้าหลอดเลือดสมอง (Cerebral angiogram) โดยขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ที่จะพิจารณาการตรวจตามความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย
ในกรณีที่เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันเฉียบพลัน แขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว หมดสติ ต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยด่วนเพื่อให้ยาสลายลิ่มเลือด ซึ่งจะช่วยให้เลือดสามารถไปเลี้ยงสมองส่วนที่ขาดออกซิเจนได้ทัน การทำเช่นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงภาวะทุพพลภาพ พิการ หรือเสียชีวิตได้ ทั้งนี้การให้ยาละลายลิ่มเลือดจะมีข้อจำกัดด้านเวลาที่ต้องวินิจฉัยโรคและเริ่มให้ยาภายใน 4.5 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองมีวิธีอย่างไร ?
โรคหลอดเลือดสมองแบบเส้นเลือดสมองแตกเฉียบพลัน เป็นโรคที่ไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า ดังนั้นในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยง การเข้ารับการตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงได้ และควรดูแลสุขภาพตัวเองร่วมด้วย โดยควรปฏิบัติดังนี้
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดอาหารหวานมันเค็ม
- ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ไม่เครียด งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางกลุ่มที่มีโอกาสทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดสมองผิดปกติ
โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่อันตราย แต่หากรู้เร็ว รักษาทันเวลา ก็สามารถช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีหรือหายเป็นปกติได้ ทั้งนี้ โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่ป้องกันได้ โดยการตรวจสุขภาพประจำปี และตรวจคัดกรองโรคหลอดเลือดสมองโดยตรง เพื่อค้นหาความเสี่ยง และเลือกแนวทางการป้องกันที่เหมาะสมต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์