"เครื่องดื่มเกลือแร่" กินผิดประเภท เสี่ยงท้องเสียลำไส้แปรปรวนกว่าเดิม
รู้หรือไม่? เครื่งดื่มเกลือแร่เหมือนกันแต่บรรเทาท้องเสียได้ไม่เหมือนกัน รู้จักประเภทเกลือแร่ และเทคนิคการกินให้ได้ประสิทธิภาพ เพราะหากกินผิด-กินมากเกิน อาจส่งผลให้อาการทรุดหนักมากกว่าเดิม
เครื่องดื่มเกลือแร่ สามารถชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่ร่างกายสูญเสียไปได้ ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำตาล และเกลือแร่ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมน้ำไปใช้ได้ง่ายขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ร่างกายขาดน้ำและขาดสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย ช่วยแก้กระหาย ให้ความสดชื่นหลังเสียเหงื่อมาก โดยทั่วไปเกลือแร่ในท้องตลาดมีอยู่ 2 ประเภท คือ
- เกลือแร่สำหรับผู้ที่เสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย (Oral Rehydration Therapy หรือ ORT)น้ำดื่มเกลือแร่ชนิดนี้ต่างจากชนิดที่ให้ส้าหรับคนท้องเสีย
“ท้องร่วง ท้องเสีย” ซื้อยาปฏิชีวนะ-คาร์บอน กินเองได้หรือไม่ ?
“ฮีทสโตรก”คนออฟฟิศก็เสี่ยง สัญญาณเตือนภัยอันตรายเสียชีวิตเฉียบพลัน
เนื่องจากผู้ที่ออกก้าลังกายจะเสียน้ำและน้้ำตาลเป็นหลัก ส่วนเกลือแร่จะสูญเสียในปริมาณที่น้อยมากสูตรที่ต่างกันกับสูตรเกลือแร่แก้ท้องเสีย ส่วนเกลือแร่สำหรับผู้ที่เสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย จะมีปริมาณน้ำตาล (ส่วนใหญ่เป็นกลูโคส) จะสูงกว่าเพื่อให้พลังงาน ดังนั้นหากเกิดอาการท้องเสีย แต่ไปดื่มน้้าเกลือแร่สำหรับผู้ที่เสียเหงื่อจากการออกกำลังกายจะยิ่งเป็นการกระตุ้นทำให้เกิดอาการท้องเสียได้มากขึ้น เนื่องจากเครื่องดื่มชนิดนี้จะมีปริมาณน้ำตาลและเกลือแร่บางชนิดที่สูงกว่า ส่งผลให้ร่างกายดึงน้้าเข้ามาในทางเดินอาหาร ลำไส้ถูกกระตุ้นและบีบตัวท้าให้ถ่ายมากยิ่งขึ้น อาการจะทรุดลงได้
- เกลือแร่สำหรับคนที่ท้องเสีย (Oral Rehydration Salt หรือ ORS) ในน้ำดื่มเกลือแร่ส้าหรับคนที่ท้องเสียหรืออาเจียนนี้เป็นยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งประเทศไทย มักจะเป็นชนิดผงน้ำตาล ผสมเกลือแร่ซึ่งผู้ที่ท้องเสียหรืออาเจียนร่างกายจะขาดน้้าและเกลือแร่ จึงต้องให้น้ำและเกลือแร่มาทดแทนให้แก่ร่างกายทันทีซึ่งในกรณีผู้ที่อาเจียนนี้หมายถึงยังสามารถดื่มน้ำได้และมีสติ
การผสมน้ำเกลือแร่สำหรับท้องเสียที่ถูกต้อง
- เตรียมน้ำเปล่าสำหรับดื่มที่สะอาดและมั่นใจได้ว่าไม่มีเชื้อโรคอื่นที่อาจปนเปื้อนจนทำให้อาการท้องเสียแย่ลง
- เทโออาร์เอสทั้งซองในน้ำดื่มสะอาดตามปริมาตรที่ระบุบนซอง โดยปริมาตรอาจเป็น 120, 150, 240, 250 หรือ 750 ซีซี (1 ซีซี เท่ากับ 1 มิลลิลิตร) ขึ้นกับยี่ห้อ หากผสมด้วยปริมาตรที่ผิดไปจากที่ระบุอาจทำให้ได้น้ำเกลือแร่ที่มีความเข้มข้นไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตามปริมาตรที่ใช้ผสมอาจมากหรือน้อยไปจากที่ระบุได้บ้างหากไม่มีภาชนะในการตวง
- ผสมโออาร์เอสกับน้ำดื่มให้เข้ากันดีด้วยการคนหรือเขย่าจนสังเกตว่าไม่มีผงยาเหลืออยู่ อย่าลืมคำนึงถืงความสะอาดของน้ำดื่มและภาชนะต่าง ๆ ในขั้นตอนการผสม
- ควรผสมโออาร์เอสครั้งละซองและผสมใหม่เมื่อดื่มของเก่าหมด ไม่ควรเก็บน้ำเกลือแร่ที่ดื่มไม่หมดไว้เกิน 24 ชั่วโมง รวมทั้งควรเก็บรักษาน้ำเกลือแร่ที่ผสมแล้วในภาชนะที่ปิดสนิทเพื่อลดโอกาสในการปนเปื้อน
วิธีการดื่มน้ำเกลือแร่เมื่อท้องเสีย
- ค่อย ๆ จิบ ไม่ดื่มรวดเดียว เนื่องจากการดื่มหมดในคราวเดียวอาจทำให้ลำไส้แปรปรวนและท้องเสียมากกว่าเดิม
- ให้จิบเรื่อย ๆ จนไม่รู้สึกกระหายน้ำ ความรู้สึกกระหายน้ำเป็นสัญญาณที่บอกได้คร่าว ๆ ว่าร่างกายมีภาวะขาดน้ำหรือไม่
- หากอาเจียน ไม่ควรดื่มต่อโดยทันทีเพราะอาจกระตุ้นให้อาเจียนซ้ำ ควรรอประมาณ 10 นาที จึงค่อยดื่มใหม่
- ให้หยุดดื่มน้ำเกลือแร่เมื่อหายจากอาการท้องเสีย โดยกลับมาดื่มน้ำเปล่าและรับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัยอย่างเพียงพอตามปกติ ไม่ควรรับประทานน้ำเกลือแร่เป็นระยะเวลานานหากไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
สัญญาณ “อาหารเป็นพิษ” รุนแรงอันตรายถึงชีวิต พบ1ข้อควรพบแพทย์
เกล็ดความรู้เกี่ยวกับเกลือแร่ที่หลายคนยังเข้าใจผิด
- ปัจจุบันยังไม่มีน้ำเกลือแร่สำหรับท้องเสียชนิดพร้อมดื่มจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อ
- น้ำแร่ (mineral water) คือ น้ำดื่มสะอาดที่ได้รับการเติมแร่ธาตุบางชนิดลงไปในปริมาณน้อย ๆ ไม่ใช่น้ำเกลือแร่สำหรับท้องเสีย
- หากมีความจำเป็นและไม่สามารถจัดหาโออาร์เอสได้ อาจผสมน้ำเกลือแร่สำหรับท้องเสียเองโดยเติมน้ำตาลทราย 6 ช้อนชาและเกลือครึ่งช้อนชาในน้ำดื่มสะอาด 1 ลิตร (1,000 ซีซี) อย่างไรก็ตามปริมาณของเกลือแร่ที่ได้จะไม่เหมือนกับที่ผสมจากโออาร์เอส
- น้ำอัดลมเติมเกลือมีความคล้ายคลึงกับน้ำเกลือแร่สำหรับผู้ที่เสียเหงื่อจากการออกกำลังกายมากกว่าโออาร์เอส จึงไม่แนะนำสำหรับผู้ที่ท้องเสีย
อย่างไรก็ตามกระทรวงสาธารณสุขได้ ระบุเอาไว้ว่า ตามปกติร่างกายได้รับเกลือแร่จากอาหารมากพออยู่แล้ว การขาดสมดุลเกลือแร่พบได้ในคนที่สูญเสียน้ำในร่างกายมาก เช่น เสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย อาเจียน หรือท้องเสีย เป็นต้น ดังนั้นการชดเชยการสูญเสียน้ำโดยการดื่มเกลือแร่ทดแทนเพื่อป้องกันการเสียสมดุลเกลือแร่ในร่างกายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ขณะเดียวกันการได้รับโซเดียมและโพแทสเซียมที่อยู่ในเครื่องดื่มเกลือแร่มากเกินไป จะมีผลต่อการทำงานของตับและไต การเต้นของหัวใจ การทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อผิดปกติ ทั้งนี้ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 195 (พ.ศ. 2543) เรื่องเครื่องดื่มเกลือแร่ กำหนดให้เครื่องดื่มเกลือแร่ต้องมีโซเดียมไม่น้อยกว่า 460 มิลลิกรัม และไม่เกิน 920 มิลลิกรัมโพแทสเซียมไม่เกิน 195 มิลลิกรัม ของน้ำหนักปริมาณเกลือแร่ต่อลิตร
การเลือกซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่ควรเลือกดูผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมาย อย. ที่ข้างบรรจุภัณฑ์เพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และควรเลือกซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่ให้เหมาะสมต่อทางร่างกาย นอกจากนี้การดื่มเกลือแร่พร่ำเพรื่อหรือดื่มในช่วงเวลาที่สภาพร่างกายไม่ต้องการอาจมีผลเสียต่อร่างกาย เช่น ทำให้ฟันผุ เนื่องจากส่วนผสมของน้ำตาล และกรดต่างๆ จะไปกัดกร่อนสารเคลือบฟันได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยมหิดล,กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม
11 อาหารทำฟันเหลือง เกิดคราบฟันได้ง่าย-รักษาสุขอนามัยช่วยได้
เตือนร้อนนี้! ระวังอาหารเป็นพิษ เน้นย้ำ หลัก "สุก ร้อน สะอาด"