ไม่น่ากังวล! “แอสปาร์แตม” สารอาจก่อมะเร็ง กับการประเมินความปลอดภัย WHO
องค์การอนามัยโลกประเมิน “แอสปาร์แตม” ให้เป็นสารทดแทนความหวานที่อาจก่อมะเร็งในมนุษย์ได้ แต่เมื่อพิจารณาความเสี่ยงกลับไม่น่ากังวลอย่างที่คิด
ตามรายงาน องค์การระหว่างประเทศศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ประกาศสารทดแทนความหวานชนิด “แอสปาร์แตม” เป็นสารที่อาจก่อมะเร็งในมนุษย์ อย่างไรก็ตามกลับพบว่าแม้อาจโรคร้ายในมนุษย์ได้ แต่อาจไม่น่ากังวลอย่างที่คิด
“แอสปาร์แตม” สารแทนความหวานที่พบบ่อยสุด
“แอสปาร์แตม” เป็นสารทดแทนความหวานที่สามารถให้ความหวานได้มากกว่าน้ำตาลประมาณ 200 เท่า และเป็นหนึ่งในสารให้ความหวานเทียมที่ใช้กันบ่อยที่สุด
รู้จัก “แอสปาร์แตม” ที่ WHO เตรียมขึ้นบัญชีสารก่อมะเร็ง-สุขภาพพัง
ประโยชน์-โทษความหวานหลัง แอสปาร์แตมเตรียมขึ้นบัญชีสารก่อมะเร็ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาหารและเครื่องดื่มที่ติดฉลากไว้ว่า “แคลอรี่ต่ำ” หรือ “ไดเอท” ซึ่งมีอยู่ในผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท เช่น เครื่องดื่ม ไอศกรีม หมากฝรั่ง ลูกกวาด ซอส และขนมขบเคี้ยว
“แอสปาร์แตม” นับตั้งแต่อนุมัติใช้ครั้งแรก ถูกเชื่อมโยงปัญหาสุขภาพมากมาย
แม้ว่ารายงานเช่นนี้อาจเป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่กลับไม่มีเหตุผลใดที่ต้องตื่นตระหนกมาก
เพราะแอสปาร์แตมได้รับการอนุมัติให้ใช้ครั้งแรกโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ในปี 1974 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีการกล่าวอ้างเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพ
แอสปาร์แตมไม่ได้เชื่อมโยงกับมะเร็งเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับสภาวะอื่นๆ เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง ตาบอด ชัก สูญเสียความทรงจำ ซึมเศร้า วิตกกังวล ความพิการแต่กำเนิด และการเสียชีวิตด้วย
“แอสปาร์แตม” ปลอดภัย ถ้ากินไม่เกินตามปริมาณที่กำหนด
จากการประเมินบ่อยครั้งโดยหน่วยงานกำกับดูแล เช่น WHO, FDA และ European Food Safety Authority (EFSA) ไม่พบหลักฐานสนับสนุนการยืนยันเหล่านั้น
จนถึงขณะนี้ หน่วยงานกำกับดูแลต่างเห็นพ้องต้องกันว่าปลอดภัย สำหรับคนที่จะบริโภคแอสปาร์แตม 40 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน นั่นคือประมาณ 2.8 กรัมสำหรับผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 70 กก. ซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่าที่คนส่วนใหญ่บริโภคมาก
“สารที่อาจก่อมะเร็ง” หมายความว่าอย่างไร
ความปลอดภัยของวัตถุเจือปนอาหารได้รับการประเมินใหม่อย่างสม่ำเสมอ สิ่งนี้มีความสำคัญ เนื่องจากมีหลักฐานใหม่ๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการพัฒนาวิธีการต่างๆ เพื่อประเมินผลกระทบต่อสุขภาพของสารเติมแต่ง
ปีนี้ “แอสปาร์แตม” ได้รับการประเมินใหม่โดยหน่วยงานขององค์การอนามัยโลกสองแห่ง ได้แก่ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) และคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญร่วม FAO/WHO ด้านวัตถุเจือปนอาหาร (JECFA)
อย่างไรก็ตามหน่วยงานทั้งสองจะพิจารณาในเรื่องที่แตกต่างกันมาก คือ IARC จะพิจารณาความรุนแรง ส่วน JECFA จะพิจารณาความเสี่ยง
ตัวอย่างเช่น แสงแดดเป็นอันตรายเนื่องจากอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ แต่ความเสี่ยงนั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ใช้กลางแดดและการเลือกใช้ครีมกันแดด
งานของ IARC คือการตรวจสอบสาเหตุที่เป็นไปได้ของมะเร็งและระบุอันตราย ในรายงานเรียกว่า “monographs” ซึ่งจะตรวจสอบหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมดและจัดประเภทความเป็นอันตรายออกเป็น 1 ใน 4 ประเภท ดังนี้
- กลุ่มที่ 1: สารก่อมะเร็งในมนุษย์ (หลักฐานเพียงพอสำหรับมะเร็งในมนุษย์)
- กลุ่ม 2a : อาจเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ (หลักฐานจำกัดในมนุษย์ หลักฐานเพียงพอในสัตว์)
- กลุ่ม 2b : อาจเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ (หลักฐานจำกัดในมนุษย์ หลักฐานไม่เพียงพอในสัตว์)
- กลุ่มที่ 3 : จำแนกไม่ได้ (หลักฐานไม่เพียงพอในมนุษย์หรือสัตว์)
“แอสปาร์แตม” ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม 2b เหมือนกับ “ใบว่านหางจระเข้”, “รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า” หรือ “ดิจอกซิน” ที่เป็นยารักษาหัวใจ และควันไอเสียเครื่องยนต์
เหนือสิ่งอื่นใดสำหรับอันตรายทั้งหมดนี้ มีข้อมูลจำกัดบางอย่างที่บ่งชี้ว่าอาจทำให้เกิดมะเร็งได้ แต่ความเสี่ยงที่พบอยู่ในตอนนี้นั้นอยู่ในปริมาณที่แตกต่างสิ่งที่คนทั่วไปบริโภคอยู่มาก
ผลลัพธ์การตรวจ “แอสปาร์แตม” ยากตีความ แต่ไม่น่ากังวล
การตรวจสอบความปลอดภัยของ “แอสปาร์แตม” ครั้งล่าสุดดำเนินการโดย EFSA ในปี 2013 การทบทวนนี้ไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่า “แอสปาร์แตม” ก่อให้เกิดมะเร็ง และได้รับการยืนยันการตรวจสอบก่อนหน้านี้โดยหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ
สารประกอบหนึ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือเมทานอล ซึ่งก่อตัวขึ้นในลำไส้เมื่อแอสปาร์แตมถูกย่อยสลายและเปลี่ยนเป็นฟอร์มาลดีไฮด์ในร่างกายมนุษย์ ฟอร์มาลดีไฮด์เป็นสารก่อมะเร็ง (กลุ่ม 1) อย่างไรก็ตา ปริมาณที่สามารถก่อตัวได้หลังจากการบริโภคแอสปาร์แตมนั้นต่ำกว่าปริมาณที่ร่างกายผลิตได้ตามธรรมชาติมาก
แต่ในระหว่างนั้น กลับมีข้อมูลบางส่วนจากการศึกษาของฝรั่งเศส ซึ่งขอให้ผู้เข้าร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารของตัวเองและติดตามผลเป็นเวลาหลายปีหลังจากนั้น งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าการบริโภคแอสปาร์แตมในปริมาณสูงจะเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์นั้นยากที่จะตีความ เนื่องจากความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงอิสระสำหรับโรคมะเร็ง และผู้ที่เป็นโรคอ้วนมักจะใช้สารทดแทนความหวาน นอกจากนี้ยังเป็นการยากที่จะประเมินการบริโภคแอสปาร์แตมอย่างถูกต้องจากข้อมูลอาหารเพียงอย่างเดียว
ทั้งหมดนี้มีแนวโน้มว่าการประเมินแอสปาร์แตมที่กำลังจะมีขึ้น จะรวมข้อมูลนี้ไว้ด้วย ซึ่งจะทำให้ค่าประมาณความเสี่ยงของแอสปาร์แตมชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตามจนกว่าจะถึงเวลานั้น ตอนนี้ถือว่ายังไม่มีเหตุผลที่ต้องกังวล เพราะแอสปาร์แตมจัดอยู่ในสารที่อาจก่อมะเร็งประเภท 2b ซึ่งบ่งชี้ว่าไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใดๆ ในการประเมินหรือความหมายสำหรับผู้บริโภค
ขอบคุณข้อมูลจาก : THE CONVERSATION