ประโยชน์ “นมวัว” เลือกให้ปลอดเชื้อ “แอนแทรกซ์” ย้ำเลี่ยงกินน้ำนมดิบ!
สธ. เผย ปัจจุบันยังไม่มีรายงานการระบาดของโรคที่เชื่อมโยงกับการบริโภคนมที่จำหน่ายในร้านสะดวกซื้อในไทย แนะวิธีเลือกซื้อนมให้ปลอดภัย ได้มาตรฐาน
นมวัว เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย เพราะร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหารในนมมาเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา และสำหรับหญิงตั้งครรภ์ควรดื่มนมที่มีแคลเซียมสูง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างกระดูกทั้งมารดาและทารกในครรภ์ นอกจากนี้ นมเปรี้ยวยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ ขับถ่ายสะดวก ป้องกันการท้องผูก ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานควรรับประทานนมพร่องมันเนย หรือนมขาดมันเนย และควรหลีกเลี่ยงนมที่มีรสหวาน
Freepik/freepik
นมวัว

การดื่มนมในแต่ละช่วงวัย
- วัยทารก ต้องกินนมแม่อย่างเดียวติดต่อกัน 6 เดือน หรือบางครอบครัวให้กินจนถึง 2 ปี พร้อมกับเสริมอาหารตามวัย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและมีส่วนช่วยพัฒนาการอีคิวและไอคิว รวมถึงเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก
- วัยเด็ก เมื่อเด็กโตจะสามารถดื่มนมวัวแท้ 100% ซึ่งควรดื่มนมที่มีรสจืดจะดีที่สุด
- วัยผู้ใหญ่ หากเป็นผู้มีปัญหาไขมันในเลือดสูง อาจไม่แนะนำให้ดื่มนมวัวแท้ 100% ควรเลือกดื่มนมชนิดพร่องมันเนย ส่วนหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรสามารถดื่มนมได้ตามปกติ
- วัยผู้สูงอายุ ควรดื่มนมวันละ 1 แก้ว
แน่นอนว่าในช่วงที่มีการรายงานว่าพบผู้ติดเชื้อ แอนแทรกซ์ (ANTHRAX) หลายคนอาจเกิดข้อกังวลว่า ควรจะดื่มนมอย่างไรเพื่อไม่ให้เสี่ยงติดเชื้อดังกล่าว โดยข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ปัจจุบันยังไม่มีรายงานการระบาดของโรคที่เชื่อมโยงกับการบริโภคนมที่จำหน่ายในร้านสะดวกซื้อในไทย มั่นใจได้ในนมพาสเจอร์ไรส์ หรือ ยูเอชที ที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ และผลิตจากโรงงานที่มีมาตรฐาน
คำแนะนำการบริโภคนม
- ตรวจสอบวันหมดอายุและมองหาคำว่า นมพาสเจอร์ไรส์ หรือ ยูเอชที
- เลือกบริโภคผลิตภัณฑ์นมที่มีเครื่องหมายของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)
- ภาชนะบรรจุต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่รั่ว ไม่ซึม ไม่บวม ไม่ฉีกขาด
- ห้ามดื่มนมที่มีสี กลิ่น หรือ รสชาติผิดปกติ
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำนมดิบ
ทั้งนี้ควรเลี่ยงการซื้อนมจากร้านค้าที่มีการเก็บผลิตภัณฑ์นมเพื่อจำหน่ายแบบไม่เหมาะสม เช่น ตู้แช่มีอุณหภูมิสูง หรือสถานที่เก็บโดนแสงแดดตลอดเวลา และไม่สามารถป้องกันสัตว์กัดแทะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข